รีวิวเที่ยวฮาโกเน่ (One Day Trip) ด้วยตัวเองคนเดียวด้วย Hakone Free Pass สุดคุ้ม
บทความนี้จะมารีวิวการไปเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวของผมอีกครั้ง โดยในทริปนี้เราจะเดินทางไปยังเมืองฮาโกเน่ (Hakone) กันในช่วงฤดูหนาวของปี 2025 แบบ One Day Trip ไปเช้าเย็นกลับจากโยโกฮาม่า (หรือถ้าใครพักอยู่โตเกียวก็สามารถตามรอยได้เช่นกัน) โดยการเดินทางทั้งหมดใน Hakone ในทริปนี้ผมเลือกใช้ Hakone Free Pass ซึ่งเป็นพาสเหมาการเดินทางทุกประเภทในฮาโกเน่ มาดูกันว่าจะคุ้มค่าอย่างที่คิดไหมครับ ?
รู้จักฮาโกเน่ (Hakone) กันก่อน
ฮาโกเน่ (Hakone) เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโตเกียว (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.5 ชั่วโมงด้วยรถไฟ) ทำให้เป็นจุดหมายยอดนิยมของทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนญี่ปุ่นที่ต้องการไปพักผ่อนแบบ One Day Trip หรือค้างคืนสั้นๆ แบบ 2 วัน 1 คืนจากโตเกียว
ทำไมฮาโกเน่ถึงได้รับความนิยม?
ที่นี่เป็นศูนย์รวมของแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่หลากหลาย มีทั้งจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบ และแหล่งแช่ออนเซ็นชื่อดังอีกหลายแห่ง ทำให้เหมาะมากกับการมาท่องเที่ยวพักผ่อนจึงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไม่ขาดสาย
เมืองฮาโกเน่สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยในแต่ละฤดูก็จะมีสภาพอากาศและธรรมชาติที่แตกต่างออกไป ทั้งในฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วงเลย
การเดินทางมายังฮาโกเน่
การเดินทางมายังฮาโกเน่มีให้เลือกหลากหลายวิธี ตั้งแต่การเช่ารถขับมาจากโตเกียวหรือเมืองข้างเคียง หรือจะเป็นการนั่งรถไฟด่วนจากโตเกียวด้วยรถไฟสายโอดาคิว (Odakyu Railway Lines) ด้วยขบวนรถไฟด่วน Odakyu Limited Express Romancecar วิ่งตรงออกจากโตเกียวที่สถานีชินจุกุ (Shinjuku) ผ่านสถานีโอดาวาระ (Odawara Station) และไปสิ้นสุดที่สถานีฮาโกเน่-ยูโมโตะ (Hakone-Yumoto Station) ใช้เวลาเดินทางรวมทั้งสิ้นประมาณ 80 นาทีเท่านั้น
ซึ่งถ้าใครสนใจอยากเดินทางด้วยรถไฟด่วนสาย Odakyu Limited Express Romancecar นี้สามารถเข้าไปซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์ของ Odakyu ได้เลยครับ https://www.odakyu.jp/english/romancecar/
ส่วนถ้าใครที่ไม่ได้ออกเดินทางจากโตเกียวเหมือนผมที่เริ่มออกเดินทางจาก Yokohama ก็สามารถนั่งรถไฟ JR สาย Tokaido มาลงที่สถานี Odawara แล้วต่อรถไฟ Local Train สาย Hakonetozan Line มาได้เช่นกัน
รู้จัก Hakone FreePass
ฮาโกเน่ ฟรีพาส (Hakone FreePass) เป็นบัตรโดยสารแบบเหมาจ่ายที่ช่วยให้เราสามารถเดินทางรอบฮาโกเน่ได้แบบไม่จำกัดเที่ยว โดยใช้ได้กับระบบขนส่งสาธารณะหลักทั้งหมดภายในพื้นที่ฮาโกเน่ เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ามากสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเที่ยวรอบฮาโกเน่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าตั๋วแยกรายเที่ยว
Hakone Free Pass ครอบคลุมอะไรบ้าง?
- รถไฟฮาโกเน่โทซัง (Hakone Tozan Railway) รถไฟสายเก่าที่วิ่งผ่านภูเขา มีจุดชมวิวธรรมชาติที่สวยงาม
- กระเช้าลอยฟ้าฮาโกเน่ (Hakone Ropeway) กระเช้าพาขึ้นสู่หุบเขาโอวาคุดานิ พร้อมวิวภูเขาไฟฟูจิ
- เรือโจรสลัดฮาโกเน่ (Hakone Sightseeing Cruise) ล่องทะเลสาบอาชิ ชมวิวภูเขาไฟฟูจิ
- รถบัสฮาโกเน่โทซัง (Hakone Tozan Bus) วิ่งครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวหลักในรอบๆ พื้นที่ฮาโกเน่
- ฮาโกเน่เคเบิลคาร์ (Hakone Tozan Cable Car) เชื่อมต่อสถานี Gora ไปยังกระเช้าลอยฟ้าฮาโกเน่
- รถบัสโอดาคิวไฮเวย์ (Odakyu Highway Bus) ใช้เชื่อมต่อเมืองฮาโกเน่และเมืองอื่นๆ
Hakone FreePass มีให้เลือกทั้งแบบ 2 วันและ 3 วัน โดยราคาจะขึ้นอยู่กับจุดเริ่มต้นที่ซื้อ สามารถเลือกจุดเริ่มต้นได้ทั้งจาก Tokyo (Shinjuku) และจากสถานี Odawara (ราคาไม่เท่ากัน)
ซึ่งถ้าใครที่สนใจอยากจะซื้อ Hakone FreePass เพื่อใช้เดินทางท่องเที่ยวในฮาโกเน่แบบคุ้มๆ สามารถกดเข้าไปซื้อได้ที่เว็บไซต์หรือแอพพลิเคชัน KKday ผ่านทางลิ้งค์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
https://www.kkday.com/th/product/2329?cid=21134
เริ่มต้นเที่ยว Hakone
ในทริปนี้ผมเริ่มต้นการเที่ยวฮาโกเน่ที่สถานี Odawara Station โดยทำการแลกตั๋ว Hakone FreePass ที่ Odakyu Sightseeing Service Center Odawara แห่งนี้ และได้ตั๋ว Hakone FreePass แบบเป็นกระดาษแบบนี้มาแล้วครับ ต้องเก็บให้ดี ห้ามหายเลย
หลังจากที่ได้ตั๋วมาแล้ว เราก็จะใช้ตั๋วใบนี้สอดเข้าไปยัง Automatic Gate ตามจุดผ่านสถานีรถไฟรวมถึงโชว์ให้เจ้าหน้าที่ดูเมื่อขึ้นเรือ เคเบิลคาร์ รถบัส และกระเช้าลอยฟ้าได้เลยครับ เรียกได้ว่าเป็นบัตรเบ่งที่ใช้เดินทางรอบฮาโกเน่ได้สบายๆ
จากสถานีโอดาวาระ ผมนั่งรถไฟสาย Hakone Tozan Local Train มาลงยังสถานี Hakone-Yumoto Station ใช้เวลาราว 15 นาที ใช้บัตร Hakone FreePass ได้เลยตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไป
เมื่อมาถึงสถานี Hakone-Yumoto แล้วผมเปลี่ยนไปขึ้น Hakone Tozan Train อีกสายเพื่อต่อขึ้นไปยังสถารี Gora กันครับ รถไฟสายนี้จะค่อยๆ ไต่ขึ้นตามภูเขาอย่างช้าๆ และแวะจอดตามทางอยู่หลายสถานีเหมือนกันครับ เป้าหมายของผมคือจะขึ้นไปดูปากปล่องภูเขาไฟที่โอวาคุดานิ (Owakudani) กัน ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 40 นาทีครับ
หลังจากมาถึงที่สถานี Gora Station แล้วเราก็ “ไปกันต่ออ” หรือถ้าใครมีเวลาเหลือเยอะอาจจะแวะไปเที่ยวสวน Hakone Gora Park ซึ่งเป็นสวนพฤกษศาสตร์สไตล์ฝรั่งเศสแห่งแรกของญี่ปุ่น มีกิจกรรมให้เลือกทำหลายอย่างเช่น ทำเซรามิก เครื่องแก้วเป่า เครื่องหอม และลองประสบการณ์พิธีชงชาแบบคนญี่ปุ่น ถ้าใครสนใจก็ลองแวะเข้าไปเที่ยวกันดูได้นะครับ
ส่วนเราเวลาน้อยเลยเดินทางต่อ ผมเปลี่ยนไปขึ้นเคเบิลคาร์เพื่อที่จะต่อขึ้นไปยัง Hakone Ropeway แต่เนื่องจากว่าช่วงที่ไปนั้นมีการปิดปรับปรุง Hakone Ropeway บางส่วนทำให้เราจะต้องลงที่สถานี Sounzan Station เพื่อเปลี่ยนเป็นรถ Shuttle Bus ขึ้นไปยังหุบเขานรก Owakudani แทน
เมื่อมาถึงสถานี Sounzan แล้วที่สถานีจะมีป้ายบอกทางให้เราไปขึ้น Shuttle Bus ต่อไปยัง Owakudani เดินตามไปได้เลย รถ Shuttle Bus มีคอยให้บริการตลอดเวลาครับ ไม่ต้องรอนาน และสำหรับใครทีมี Hakone FreePass อยู่ในมือสามารถใช้ขึ้นรถบัสได้เลย ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
นั่งบัสต่อขึ้นมาอีกราว 30 นาที เพราะรถติดมากครับ ด้านบนที่หุบเขานรกโอวาคุดานิ มีนักท่องเที่ยวแห่แหนมาเที่ยวชมปากปล่องภูเขาไฟกันอย่างไม่ขาดสาย
เที่ยวหุบเขานรกโอวาคุดานิ (Owakudani)
Ōwakudani หรือ หุบเขานรก เป็นหนึ่งในจุดไฮไลต์ของฮาโกเน่ ที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟฮาโกเน่เมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อน ปัจจุบันยังคงมีควันกำมะถันพวยพุ่งขึ้นมาและมีบ่อโคลนเดือดปุดๆ ทำให้เป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพแปลกตาและเป็นเอกลักษณ์ของฮาโกเน่
ด้านบนนี้เราสามารถชมวิวภูเขาไฟและบ่อน้ำพุร้อนได้อย่างใกล้มาก อาจได้กลิ่นกำมะถันที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน และกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมมาทำกันก็คือการมากินไข่ดำ (Kuro-tamago) ที่เชื่อกันว่าถ้าใครได้กินไข่ดำ 1 ฟองแล้วจะทำให้มีอายุยืนขึ้นอีก 7 ปี สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายของที่ระลึก Owakudani Kurotamago-kan เลย
หลังจากที่ได้ลองกินไข่ดำ Kuro-Tamago ไปก็รู้สึกว่าก็แปลกดี ไม่เคยกินไข่ต้มที่มีสีดำมาก่อน แต่รสชาติของไข่ต้มก็เหมือนไข่ต้มทั่วๆ ไปนี่แหละครับ ไม่ได้อะไรแตกต่างออกไป ในซองจะมีเกลือใส่มาให้เผื่อใครอยากจะเยาะเกลือเพิ่มได้ครับ
ช่วงที่ผมไปที่ Hakone เป็นช่วงฤดูหนาวในเดือนมกราคม 2025 ต้องบอกเลยว่าอากศด้านบนของหุบขาโอวาคุดานินั้นหนาวมาก ประมาณ 1–2 องศาเท่านั้น ดังนั้นก็อยากแนะนำว่าถ้าใครจะมาเที่ยวในช่วงฤดูหนาวควรเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวมาอย่างดีเลยนะครับ แนะนำให้พกถุงมือมาด้วย เพราะข้างบนลมแรงอากาศหนาวมาก เวลาเอามือออกมาด้านนอกนานๆ แล้วมือแข็งได้เลย
ผมออกเดินทางต่อจากหุบเขา Owakudani ไปขึ้น Hakone Ropeway เพื่อนั่งชมวิวทะเลสาบอาชิ (Lake Ashi) และมีจุดที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิจากด้านบนกระเช้าลอยฟ้านี้ได้ด้วย แต่เสียดายที่อากาศในวันที่ไปนั้นมีเมฆค่อนข้างเยอะ ทำให้มองไม่ค่อยเห็นภูเขาไฟฟูจิเลย
ผมนั่งกระเช้าลอยฟ้ามาลงที่สถานี Ubako Togendai Lake Ashi ที่นี่จะมีร้านอาหารให้เรานั่งซื้ออาหารมาทานพร้อมกับชมวิวทะเลสาบอาชิได้แบบฟินๆ ด้วย ผมแวะพักทานอาหารที่นี่ เมนูวันนี้เป็น Bolognese Fluffy Omelet Rice หรือข้าวหน้าไข่ข้นซอสโบโลเนส อร่อยดีนะครับ แต่ราคาที่นี่ก็จะสูงหน่อย 1,650 เยน
นั่งกินข้าวพร้อมกับมองวิวเรือโจรสลัดที่เราจะนั่งต่อไปเพื่อชมวิวทะเลสาบอาชิต่อไป ฟินมากๆ ครับ วิวดีสุดๆ แนะนำเลย
นั่งเรือโจรสลัดชมวิวทะเลสาบอาชิ (Hakone Sightseeing Cruise)
หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว ผมก็ออกเดินทางต่อด้วยการมาขึ้นเรือโจรสลัด (ถ้าใครเป็นแฟนการ์ตูน One Piece คงต้องร้องกรี๊ด เพราะเหมือนในการ์ตูนมาก) ซึ่งจะพาเราล่องชมวิวทะเลสาบอาชิแบบใกล้ชิด เรือมีให้บริการอยู่เรื่อยๆ แทบจะออกทุก 25–30 นาทีเลยครับ รอไม่นาน และบนเรือก็ยังมีการแบ่งชั้นเป็นชั้นสำหรับผู้โดยสารทั่วไปกับชั้น Premium Class ที่จะได้นั่งชมวิวด้านหน้าของเรือแบบไม่ต้องไปแย่งที่นั่งกับใคร ทั้งนี้ถ้าใครที่จะนั่งเรือในชั้น Premium Class และใช้ Hakone FreePass อยู่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 700 เยนนะครับ สามารถอัพเกรดได้บริเวณจุดจำหน่ายตั๋วก่อนขึ้นเรือ แต่ถ้าเรานั่งชั้นประหยัดทั่วไปสามารถใช้ Hakone FreePass ขึ้นได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
บรรยากาศบนเรือต้องบอกเลยว่าหนาวมากครับ แต่บรรยากาศวิวสวยมากเช่นกัน แนะนำให้รีบเดินขึ้นไปถ่ายรูปวิวด้านบนให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยกลับมาหาที่นั่งด้านใน บนเรือจะมี 2 ชั้นคือชั้นล่างที่มีที่นั่งสำหรับผู้โดยสารและชั้นบนที่เป็นชั้นเปิดแบบ Open Air สำหรับใครที่อยากยืนชมวิวรอบๆ ระหว่างเรือออกเดินทางจากท่า Togendai ออกไปนะครับ
โดยเรือจะใช้เวลาเดินทางราว 25–40 นาทีแวะจอด 2 ท่าคือ Hakonemachi-ko และ Motohakone-ko ซึ่งทั้งสองที่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวรอบๆ ที่แตกต่างกัน ผมมีเวลาน้อยเลยไปแวะลงที่ท่า Motohakone-ko ทีเดียวเลยครับ เพื่อจะเดินต่อไปยังศาลเจ้า Hakone อีกที
ไหว้พระขอพรที่ศาลเจ้า Hakone-Shrine
หลังจากลงจากเรือโจรสลัดที่ท่าเรือ Motohakone-ko แล้วผมแวะถ่ายรูปจุดที่เป็น Landmark Spot ที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้จากบริเวณท่าเรือแห่งนี้ แต่น่าเสียดายที่อากาศท้องฟ้าวันนี้มืดครึ้มมาก ทำให้มองไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิอีกตามเคย แต่วิวก็จะสวยอยู่ดีนะครับ ว่ามั้ย
ผมเดินต่ออกมาเล็กน้อยเพื่อจะมาเที่ยวชมและไหว้พระขอพรที่ศาลเจ้า Hakone วันนี้นักท่องเที่ยวมากันเยอะมากๆ เลยครับ หลังจากไหว้พระเสร็จแล้วก็ซื้อขนม 10 เยนไส้ชีส (แต่ราคา 500 เยน) กินเป็นอาหารว่าง อร่อยดีนะครับ
ผมตั้งใจจะมาถ่ายรูปกับเสาโทริอิลอยน้ำชื่อดัง (Heiwa no Torii) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าศาลเจ้า Hakone แห่งนี้ แต่ก็โชคไม่ดีอีกแล้วที่เสาโทริอิตอนที่ไปเค้ากำลังปิดซ่อมปรับปรุง ห้ามเข้า เลยได้แต่ถ่ายรูปจากด้านนอกไกลๆ แทนครับ ถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวศาลเจ้า Hakone แล้วก็อย่าลืมแวะไปถ่ายรูปกับเสาโทริอิลอยน้ำชื่อดังแห่งนี้กันด้วยนะครับ
หลังจากที่เดินเที่ยวรอบศาลเจ้า Hakone แล้ว อากาศก็เริ่มครึ้มมากขึ้นและซักพักก็เริ่มมีหิมะโปรยปรายลงมา ทำให้ผมตัดสินใจว่าจะไม่เที่ยวต่อแล้วเนื่องด้วยสภาพอากาศที่ค่อนข้างแปรปรวนก็เอาปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าครับ เลยนั่งรถ Hakone Tozan Bus จากท่า Motohakone กลับมายังสถานี Hakone-Yumoto เลย
หลังจากนั่งบัสมาราวๆ 1 ชม.ก็เดินทางมาถึงสถานี Hakone-Yumoto Station แล้วครับ ผมลงจากบัสเพื่อเป็นเป็นรถบัสอีกสายเพื่อต่อกลับไปยังสถานี Odawara Station เพื่อนั่งรถไฟ JR Tokaido กลับ Yokohama ต่อไป
สรุป
ก็ถือเป็น One Day Trip in Hakone ที่น่าประทับใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่เดินทางมาเที่ยวที่นี่และยังมาด้วยตัวเองคนเดียวอีกด้วย ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้วกับการที่ได้มาเห็นธรรมชาติสวยๆ ที่นี่ทั้งหุบเขานรก Owakudani, ทะเลสาบอาชิ และนั่งเรือโจรสลัดแบบในการ์ตูนชมวิวรอบทะเลสาบ แต่น่าเสียดายที่อากาศในวันนี้ครึ้มมากไปหน่อยจนมีหิมะตกในช่วงบ่ายๆ ทำให้เที่ยวในสถานที่ต่างๆได้น้อยลง แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้ามีโอกาสจะกลับมาใหม่ในวันที่อากาศแจ่มใสและหนาวน้อยกว่านี้หน่อยนะครับ หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยวที่ Hakone กันนะครับ Happy Travels!