รีวิวสายการบิน American Airlines บินตรงไกลที่สุดในชีวิต 16 ชม.จาก Dallas ถึง Hong Kong

Traitanit Huangsri
4 min readJun 23, 2019

--

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมารีวิวสายการบิน American Airlines บินตรงจากเมือง Dallas รัฐ Texas สหรัฐอเมริกาข้ามมหาสมุทรอาร์คติกมาลงที่ Hong Kong โดยไฟลท์นี้ใช้เวลาเดินทางกว่า 16 ชม. รวมระยะทางกว่า 8,123 Miles (ประมาณ 13,073 km) ​ซึ่งเป็นการเดินทางบนเครื่องบินที่ใช้เวลานานที่สุดในชีวิตผมเลยครับ

DFW-HKG

เที่ยวบินนี้ถือเป็นหนึ่งในเที่ยวบินที่ใช้ระยะเวลาในการเดินทางมากที่สุดในโลก ซึ่งใช้เวลาเดินทางนานเป็นอันดับที่ 13 ของโลกครับ ซึ่งถ้าพูดถึงไฟลท์ที่ใช้เวลาในการเดินทางนานที่สุดในโลก (แบบไม่หยุดแวะพัก) ณ​ ตอนนี้ก็ต้องเป็นเที่ยวบิน SQ21 ของ Singapore Airlines ที่เพิ่งจะเปิดเที่ยวบินตรงจากสิงคโปร์ไปนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาไปเมื่อปลายปี 2018 ที่ผ่านมา ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางกว่า 18 ชม. 25 นาที รวมระยะทางกว่า 9,537 Miles หรือราวๆ 15,345 km เลยทีเดียว นานและไกลมากกก

Top Longest Flights in the World (ข้อมูลจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Longest_flights)

ข้อมูลการเดินทาง

Flight: AA125 / CX7681 (Codeshare with Cathay Pacific)

Airlines: American Airlines (AA)

Route: Dallas Fort Worth (DFW) - Hong Kong (HKG)

Departure Time: 10:35 AM (GMT-05:00)

Arrival Time: 16:10 PM (GMT+08:00)

Duration: 16 Hours

Aircraft: Boeing 777–300ER

Class: Economy Class (Y)

Dallas Forth Worth International Airport (DFW)

ผมเดินทางในวันธรรมดาและเวลาออกเดินทางอยู่ในช่วงเช้าซึ่งเป็นเวลา Rush Hour พอดี ผมจึงเลือกใช้บริการของ Lyft นั่งจากย่าน Downtown ของเมือง Dallas มาถึงสนามบิน Dallas Fort Worth International Airport (ขอเรียกย่อๆ ว่า DFW) ใช้เวลาราวๆ 1 ชม.ครับ ซึ่งถึงแม้จะเป็นช่วง Rush Hour แต่เมือง Dallas มีการจัดการจราจรที่ดีเยี่ยม ทำให้รถไม่ติดเลย โดยสนามบินแห่งนี้เป็นสนามบินที่มีความหนาแน่นของผู้โดยสารเป็นอันดับ 4 ของโลก และยังเป็น Hub ทำการบินของสายการบิน American Airlines อีกด้วย เรียกได้ว่ามาสนามบินนี้จะได้เห็นเครื่องบินของ AA เต็มไปหมดเลยครับ และยังมีสำนักงานใหญ่ของ American Airlines ตั้งอยู่ที่สนามบินแห่งนี้อีกด้วยครับ

AA Center สถานที่จัด Event กลางเมือง Dallas ของ American Airlines Credit: http://www.americanairlinescenter.com

สนามบิน DFW มีอาคารผู้โดยสาร (Terminal) ทั้งหมด 5 อาคาร (A-E) 165 เกท รองรับทั้งเที่ยวบินทั้งในและต่างประเทศกว่า 249 จุดหมายปลายทาง ถือว่าเป็นสนามบินหลักในภูมิภาคแถบตอนกลางถึงใต้ของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ครับ

Check-in

เที่ยวบินของผมในวันนี้อยู่ที่อาคารผู้โดยสาร (Terminal) D ครับ โดยระบบการ Check-in ของสนามบินในสหรัฐอเมริกาทุกวันนี้จะเป็นระบบบริการตัวเอง (Self-Service) ด้วย Kiosk หมดแล้ว ผู้โดยสารสามารถทำการ Check-in, Print Boarding Pass, Print Luggage Tag และรวมถึงการโหลดน้ำหนักกระเป๋าเองได้ทั้งหมดแล้วครับ แต่ก็ยังมี Counter ที่มีเจ้าหน้าที่สนามบินคอยให้บริการอยู่บ้าง แต่ใช้คนน้อยมากๆ แล้วครับ ถือว่าเป็นการพัฒนาการบริการที่สนามบินที่ดีเยี่ยม ควรแค่แก่การที่สนามบินในบ้านเราควรจะนำไปปรับใช้เป็นตัวอย่างในอนาคตครับ

Counter Check-in แทบไม่ต้องใช้คนแล้ว
DFW Self-Service Kiosk Credit: https://www.dallasnews.com/

Gates

สนามบิน DFW นั้นกว้างขวางใหญ่โตอลังการตามสไตล์สนามบินขนาดใหญ่ในอเมริกา มีร้านค้าในโซน Duty Free อยู่นิดหน่อย ส่วนตัวผมคิดว่าสนามบินของประเทศในเอเชียเนี่ย Duty Free ทำได้ดีติดอันดับโลกเลยนะครับ ร้านค้าเยอะและหลากหลายจริงๆ ต่างกับในอเมริกาที่สนามบินใหญ่แต่ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นที่นั่งให้คนรอขึ้นเครื่องมากกว่าครับ

ร้านขายสินค้าที่ระลึกของทีม Dallas Cowboys ทีม American Football ชื่อดังของเมืองนี้

Seating

เดินผ่าน Business Class เก็บภาพไว้หน่อย เผื่อวันนึงจะมีโอกาสได้นั่งกะเค้าบ้าง 55

เที่ยวบินวันนี้ใช้เครื่องบิน Boeing 777–300ER ซึ่งเป็นเครื่องบินรุ่นยอดฮิตที่ใช้ทำการบินระยะไกลโดยเฉพาะเส้นทางจากเอเชียมาสหรัฐอเมริกาจะนิยมใช้รุ่นนี้กันหลายสายการบินเลยครับ ซึ่งทาง AA ก็ Claim ว่าเป็นเครื่องบินรุ่นนี้เป็นเครื่องบินที่บินได้ไกลที่สุดที่ประจำอยู่ในฝูงบินของ AA ณ ตอนนี้แล้ว โดยห้องโดยสารบนเครื่องบินรุ่นนี้แบ่งที่นั่งเป็น 4 ชั้นด้วยกัน ตั้งแต่ First Class, Business Class, Premium Economy และ Economy Class แน่นอนครับผมนั่ง ชั้น Economy แน่นอน ฮ่าๆ

โดยชั้นประหยัดจัดเรียงที่นั่งแบบ 3–3–3 แต่จะมีบางแถวที่จะถูกจัดแบบ 2–4–2 ด้วยครับ ที่นั่งมีความกว้างระหว่างที่นั่ง (Seat Pitch) อยู่ที่ 31–32 นิ้ว ความกว้างของเบาะ 16.2–17.1 นิ้ว ถือว่าไม่กว้างแต่ก็ไม่แคบจนเกินไปครับ แต่ถ้าสำหรับไฟลท์ยาวๆ แบบนี้แนะนำว่าควรลุกไปเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสายระหว่างทางด้วยครับ ไม่งั้นพอลงเครื่องอาจจะมีอาการเมื่อยล้าได้ครับ

หมอนผ้าห่มพร้อมนอน

ทุกที่นั่งจะมีหมอนกับผ้าห่มเตรียมไว้ให้ด้วยนะครับ และก็มีพอร์ต USB, ปลั๊กไฟ Universal สามารถเสียบสายชาร์จโทรศัพท์มือถือได้ และแน่นอน In-Flight Entertainment ก็จัดจอ LED แบบ Touch Screen มาให้เต็มรูปแบบครับ

Delays

และแล้วเที่ยวบินของผมในวันที่เดินทางก็ต้องดีเลย์ออกไป จากเดิมที่ต้องออกเดินทางตั้งแต่เวลาประมาณ 10:35 AM แต่เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ที่จัดการเส้นทางการบินของเครื่องบินมีปัญหา ทำให้กัปตันต้องประกาศดีเลย์เที่ยวบินออกไปหลังจาก Board ผู้โดยสารขึ้นเครื่องหมดแล้ว ใช้เวลาในการแก้ปัญหาระบบคอมพิวเตอร์กว่า 1 ชม.เลยครับ แต่ก็ดีกว่าเอาเครื่องขึ้นไปแล้วเกิดปัญหากลางทางนะครับ ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอครับ

ไฟลท์ Delay ก็นั่งดูเที่ยวบินเกทข้างๆ ทยอย Take Off กันไปเพลินๆ

การเดินทาง

หลังจากที่แก้ปัญหาทุกอย่างได้เรียบร้อยแล้ว กัปตันก็ทำการ Push Back เครื่องและนำเครื่องขึ้น Take Off เรียบร้อยครับ ซึ่งเส้นทางการบินในวันนี้ กัปตันเลือกเส้นทางบินออกจากเมือง Dallas บินขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านประเทศแคนาดาขึ้นไปจนเกือบถึงตอนใต้ของเกาะ Greenland ก่อนที่จะเลี้ยวลงข้ามมหาสมุทรอาร์คติกผ่านประเทศรัสเซีย มองโกเลีย และจีน ก่อนที่จะ Landing ลงที่ฮ่องกงครับ ใช้เวลาทั้งหมด 16 ชม. ในการเดินทาง

วันนี้สภาพอากาศดีเยี่ยม ฟ้าใส สวยงามมากๆ ครับ

หลังจากเครื่องขึ้นได้ประมาณ 1 ชม.​ ลูกเรือ(Cabin Crew) ก็เริ่มทำการแจกเมนูอาหารที่จะเสิร์ฟในเที่ยวบินนี้ให้ผู้โดยสารแต่ละท่าน โดยจะเสิร์ฟอาหารหลัก 2 มื้อ บวกกับอาหารว่างอีก 1 มื้อ รวมเป็น 3 มื้อถ้วนครับ

หลังจากแจกเมนูเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทำการเริ่มเสิร์ฟอาหารหลักมื้อแรกครับ ซึ่งผมเลือกเป็นเมนู ​Chicken Mapo Tofu with Jasmine rice and Haricots Verts แปลเป็นไทยคือข้าวหอมมะลิกับไก่ผัดเต้าหู้เสิร์ฟกับผัก ซึ่งรสชาติผมต้องบอกเลยว่าไม่ค่อยถูกปากเลยครับ รู้สึกตัดสินใจผิดที่เลือกเมนูนี้ ฮ่าๆ

Chicken Mapo Tofu with Jasmine rice and Haricots Verts

หลังจากทานอาหารมื้อแรกเสร็จ ก็ได้เวลาเพลิดเพลินกับ In-Flight Entertainment แล้วครับ ซึ่งก็มีหนัง ซีรีส์ เพลง เกม ใหม่ๆให้เราเลือกมากมายครับ แต่สิ่งที่ผมชอบที่สุดบนเที่ยวบินนี้คือ Feature Live On Board หรือช่องทีวีถ่ายทอดสดดูได้บนเครื่องเลย มีให้เลือก 3–4 ช่องครับเช่น BBC, CNN, CNBC และ Sport24 ซึ่งแน่นอนผมนี่เปิด Sport24 ดูกีฬาวนๆ ไป แก้เบื่อได้ดีเลยทีเดียวครับ

Live on Board: Sport 24 Channel

หลังจากดูกีฬาเพลินๆ ก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ครับ รู้ตัวอีกทีคือเค้าปิดไฟมืดให้นอนหมดแล้ว เราดูเปิดทีวีดูต่อครับ แล้วก็หลับๆ ตื่นๆ จนรู้ตัวอีกทีคือได้กลิ่นอาหารมื้อที่สองเตรียมเสิร์ฟแล้ว รอบนี้จะเป็นของว่างซึ่ง Cabin Crew เสิร์ฟ Ratatouille Stromboli แปลเป็นไทยคือ ขนมปังไส้สตูว์ผักอะไรซักอย่าง ไม่เคยทานเหมือนกันครับ รสชาติเข้มข้นดีครับ ทานคู่กับไอศครีม Gelato รสวานิลลา ตัดเลี่ยนได้ดีครับ

Ratatouille Stromboli เสิร์ฟท่ามกลางความมืด

กินเสร็จแล้วก็นอนต่อ ผลัดกับลุกมาเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสายหน่อยครับ นั่งนานจนรู้สึกก้นเริ่มเมื่อยแล้ว แล้วก็มาถึงอาหารมื้อที่สาม มื้อสุดท้ายก่อนเครื่องจะ Landing ครับ ซึ่งตอนนี้ผมอยากทานอาหารสไตล์เอเชียๆ แล้ว เบื่ออาหารฝรั่งแล้วล่ะ เลยขอเลือกอาหารเป็น Chinese Dim Sum with Fried Egg Noodles ไหนๆ เรามาฮ่องกงทั้งทีก็ต้องอาหารจีน ติ่มซำไรงี้ใช่มั้ยครับ

Chinese Dim Sum with Fried Egg Noodles

มาเสิร์ฟแล้วครับ ติ่มซำกับบะหมี่ผัดไข่ (ไหนไข่) ซึ่งรสชาติแบบว่าแย่มาก ติ่มซำแห้งมาก ไม่มีความชุ่มฉ่ำเลย บะหมี่ก็แห้งๆ จืดๆ อยากได้แบบเกลือพริกไทยมากครับ ณ จุดนั้น แต่สุดท้ายก็กินจนหมดนะครับ ไม่รู้ว่าหิวหรืออะไรตอนนั้น ฮ่าๆ

หลังจากเสิร์ฟอาหารมื้อสุดท้ายได้ไม่นาน ก็ใกล้ถึงฮ่องกงแล้วครับ กัปตันก็เริ่มเปิดไฟและแจ้งผู้โดยสารว่าใกล้ถึงแล้วนะครับทุกท่าน เตรียมตัว Landing กันได้

เปิดหน้าต่างมาเจอตึกสูงแน่นๆ ใกล้ทะเลแบบนี้แปลว่าเราอยู่บนน่านฟ้าของฮ่องกงเรียบร้อย

หลังจากลดระดับเพดานบินลงมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ Landing ลงที่สนามบิน Hong Kong International Airport (HKG) เรียบร้อยปลอดภัย นิ่มดีมากครับ ใช้เวลาบินยาวๆ 16 ชม. รวมเวลาดีเลย์บนเครื่องอีก 1 ชม. รวมๆ แล้วก็ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดร่วมๆ 17 ชม. เลยครับ

ก็ถือเป็นประสบการณ์การเดินทางที่ล้ำค่าของผมในการที่ได้เดินทางแบบยาวไกลขนาดนี้เป็นครั้งแรกครับ ต้องขอบคุณสายการบิน American Airlines ที่ดูแลผู้โดยสารเป็นอย่างดี แม้อาหารจะไม่ค่อยถูกปากเท่าไรก็ตาม แต่การบริการอื่นๆ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยนั้นดีเยี่ยมหายห่วงเลยครับ

--

--

Responses (2)