รีวิวสายการบิน All Nippon Airways (ANA) บินไปอเมริกาปี 2022
สวัสดีครับ ช่วงเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสบินไปเที่ยวอเมริกาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผมเลือกใช้บริการของสายการบินสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง All Nippon Airways หรือที่เรามักจะเรียกกันว่าสายการบิน “ANA” ซึ่งเป็นการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาด้วยสายการบิน ANA ครั้งแรกของผมด้วยครับ บทความนี้จะขอพาทุกท่านรีวิวการเดินทางไปอเมริกาหลังจากที่มีการผ่อนปรนนโยบายมาตรการ Covid-19 ในปี 2022 นี้ว่าจะต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างครับ
ในการเดินทางครั้งนี้ ผมเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิจากกรุงเทพฯไปยังเมืองซีแอทเทิล (Seattle) รัฐวอชิงตัน (Washington) สหรัฐอเมริกาโดยทำการเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินนาริตะ (Narita) ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น 1 ครั้ง ใช้เวลาเดินทางรวมทั้งสิ้นประมาณ 18 ชม. รวมเวลาเปลี่ยนเครื่องแล้วด้วยนะครับ
จองตั๋วเครื่องบิน
[Disclosure] การเดินทางครั้งนี้ผมออกค่าใช้จ่ายเองในการเดินทางเองทั้งหมด ไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ จากสายการบินหรือบริษัท Travel Agency ใดๆ ทั้งสิ้น
หลังจากที่สถานการณ์ Covid-19 ดีขึ้น หลายๆ ประเทศก็เริ่มกลับมาเปิดประเทศให้เราเดินทางไปกันได้แล้ว ซึ่งก็รวมถึงอเมริกาด้วยครับ โดยในครั้งนี้ผมยังคงใช้บริการของ Google Flights ทำการจองตั๋วเครื่องบินชั้น Economy Class อีกเช่นเดิมครับ เพราะสามารถทำให้เราเปรียบเทียบราคาของแต่ละสายการบินได้ง่าย รวมถึงยังมี feature ที่ทำให้เราคอย track ราคาตั๋วเครื่องบินได้เรื่อยๆ อีกด้วย โดยในครั้งนี้ผมทำการจองผ่านสายการบิน United Airlines อีกทีซึ่งเป็นหนึ่งใน Star Alliance Partner ร่วมกับสายการบิน ANA ด้วยครับ ทำให้เราสามารถเลือกสะสมไมล์ร่วมกับพันธมิตรสายการบินได้ เช่นถ้าใครมี ROP ของการบินไทยก็สามารถสะสมไมล์ร่วมได้เลย
แต่ต้องบอกอย่างหนึ่งครับว่า หลังจากช่วง Covid-19 ผ่านไป สถานการณ์ของราคาตั๋วเครื่องบินต้องบอกว่าแพงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก สาเหตุก็เป็นเพราะว่าความต้องการการเดินทาง Demand มากกว่า Supply เนื่องจากแต่ละสายการบินมีการลดจำนวนเที่ยวบิน, พนักงานลง ทำให้เมื่อมีความต้องการเดินทางมากขึ้นและยังไม่ได้มีการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินที่มากพอ ทำให้เกิดราคาตั๋วที่แพงขึ้น บวกกับราคาน้ำมันโลกก็แพงขึ้นมากในปี 2022 นี้ (เนื่องจากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน) ก็มีผลต่อราคาตั๋วเครื่องบินเช่นกันครับ ดังนั้นถ้าใครมีแพลนจะเดินทางก็แนะนำให้มีการจองตั๋วเครื่องบินแต่เนิ่นๆ ก็น่าอาจจะได้ราคาที่ดีกว่าครับ
เตรียมเอกสารที่ต้องใช้เดินทาง
ในการเดินทางไปอเมริกาหลังจากนี้ “ไม่ต้องมีผลตรวจ Covid-19” ใดๆ ก่อนเดินทางแล้วนะครับ ตามคำประกาศล่าสุดของ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ของอเมริกา แต่อย่างไรก็ดีเราก็ควรเข้าไป update ข้อมูลคำประกาศล่าสุดของ CDC อยู่เรื่อยๆ นะครับ ซึ่งสามารถเข้าไปดูได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้เลย
ส่วนเอกสารอื่นที่ต้องเตรียมก่อนเดินทาง แน่นอนเลยก็คือคนไทยเราต้องมี Visa เข้าอเมริกาและอีกเอกสารสำคัญที่ต้องเตรียมเพิ่มเติมก็คือใบรับรองการฉีดวัคซีนหรือ Vaccine Certificate ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งแบบ digital คือขอได้จากแอพ “หมอพร้อม” หรือจะขอเป็นแบบ physical รูปเล่มสีเหลืองแบบนี้ก็ได้ครับ ซึ่งสามารถเข้าไปจองคิวขอล่วงหน้า ขอแนะนำว่า “อย่างน้อย 2 สัปดาห์” ได้หลายสถานที่ เช่น โรงพยาบาล Med Park หรือจะเป็นที่ที่ผมไปทำมาคือ สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เดินทางสะดวกอยู่แถวๆ วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขนครับ นั่งรถไฟฟ้า BTS ไปลงที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุได้เลย เสียค่าทำเอกสาร 50 บาทครับ ซึ่งเอกสารนี้จะต้องใช้ตอนขากลับมาไทยด้วยนะครับ
การเดินทาง #1 BKK-NRT
Flight: NH806 (Operated by Air Japan Co., Ltd.)
Route: Bangkok (BKK)-Tokyo (NRT)
Departure Time: 07:00 am
Arrival Time: 3:20 pm
Duration: 6 Hours 20 Minutes
Aircraft: Boeing 787–9 Dreamliner
Class: Economy
ไฟลท์แรกจากกรุงเทพฯ ไปยังโตเกียว เป็นไฟลท์เช้าตรู่เลยครับ ออกเดินทางตั้งแต่เวลา 7 โมงเช้า นั่นแปลว่าเราจะต้องไปถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิไม่เกินตี 4 ครับ เนื่องจากว่ามีผู้โดยสารเดินทางเยอะ และจะต้องใช้เวลาในการตรวจเอกสารการเดินทางนานกว่าปกติ ดังนั้นเลยจะขอแนะนำให้เราเผื่อเวลาไปสนามบินอย่างน้อยๆ ก็ 3 ชั่วโมงก่อนเวลาออกเดินทางนะครับ
และเนื่องจากผมได้ทำการจองตั๋วเครื่องบินกับสายการบิน United Airlines ซึ่งเป็นสายการบินพาร์ทเนอร์กับสายการบิน ANA เลยทำให้ผมไม่สามารถทำ Online Check-in มาก่อนได้ (เข้าใจว่าช่วงนี้ต้องเช็คอินที่ Counter Check-in เพื่อตรวจเอกสารเองทั้งหมด) เลยจะต้องเผื่อเวลามาสนามบินเยอะนิดนึงครับ เผื่อว่ามีปัญหาอะไรจะได้พอแก้ปัญหาได้ทัน ผมตื่นตั้งแต่ประมาณตี 3 มาถึงสนามบินประมาณตี 4 ก็พบว่ามีผู้โดยสารมารอเข้าแถว Check-in กันยาวแล้ว
และเนื่องจากว่าประเทศญี่ปุ่นยังปิดประเทศอยู่ ไม่ได้เปิดรับนักท่องเที่ยว(ในแบบที่ท่องเที่ยวด้วยตัวเอง)ในช่วงนี้ ทำให้ผู้โดยสารส่วนใหญ่ในไฟลท์นี้คือเป็นผู้โดยสารที่เดินทางเพื่อต่อเครื่องไปยังทวีปอเมริกาเหนือเป็นส่วนใหญ่เลยครับ ทั้งอเมริกาและแคนาดา ซึ่งก็มีคนไทยบินไปสองประเทศนี้เยอะพอสมควรเลย
หลังจากที่ผมทำการเช็คอินที่ Counter “L” เรียบร้อยก็ทำการโหลดกระเป๋า ซึ่งเที่ยวบินที่บินเข้าอเมริกาส่วนใหญ่จะสามารถโหลดน้ำหนักกระเป๋าได้ 2 ใบๆ ละ 23 kg (น้ำหนักขึ้นกับแต่ละสายการบิน) ผมก็ใช้เต็มโควต้าโหลดไป 2 ใบเลยครับ 55+ และรับ Boarding Pass 2 ใบคือไฟลท์จาก BKK-NRT และ NRT-SEA และไปรับกระเป๋าที่ปลายทางที่ Seattle ทีเดียวครับ
เสร็จแล้วก็เดินผ่าน Security Checkpoint ไปที่เกทกันครับ วันนี้ไฟลท์ของเรา Boarding ที่เกท C1 ครับ หลังจากเข้าสู่เกทในสนามบินสุวรรณภูมิผมก็พบว่าร้านรวงต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดให้บริการกันหมดแล้ว Duty Free ของ King Power ก็เปิดทำการตามปกติหมดแล้ว เตรียมพร้อมรอรับนักเดินทางหลังจากนี้อย่างพร้อมมากๆ ครับ
ไฟลท์ของเรา Boarding Time 6:30 am ครับ เครื่องบินวันนี้เป็นรุ่น Boeing 787–9 Dreamliner มีอุปกรณ์ Entertainment ครบครัน บนเครื่องก็มีอุปกรณ์ Amenities แจกให้ผู้โดยสารชั้น Economy ด้วยครับ ทั้งผ้าห่ม หมอน หูฟัง เรียกว่าเตรียมนอนกันได้เลย ผู้โดยสารวันนี้ “เต็มลำ” ครับ กวาดสายตาไปไม่มีที่นั่งว่างเลย นี่ขนาดเป็นการบินวันธรรมดานะครับ เรียกว่าความต้องการเดินทางช่วงนี้สูงจริงๆ
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบเวลาบินกับเครื่องบินรุ่น Boeing 787–9 คือมันจะมี Live TV on Board (ANA จะเรียกว่า SKY LIVE TV)ให้เราได้ดูทีวีสดๆ บนเครื่องบินด้วย มีให้เลือกดู 3 ช่องคือ CNN, NHK Premium และ Sport24 ส่วนตัวผมชอบดูกีฬาก็เปิดช่อง Sport24 ดูกีฬาไปยาวๆ ตลอดการเดินทางครับ
ที่นั่ง Economy ของ Boeing 787–9 ของ ANA ก็ค่อนข้างนั่งสบายนะครับ ผมสูง 178 เข่าไม่ติดและมีที่ให้เหยียดขาลงไปได้นิดนึงครับ ที่นั่งของชั้นประหยัดจะจัดเป็น 3–3–3 นะครับ
เที่ยวบินของเราวันนี้ กัปตัน Taxi และ Take Off ได้ค่อนข้างตรงเวลาเลยครับ เมื่อเครื่องบินไต่ระดับความสูงได้ซักพัก พนักงานต้อนรับบนเครื่องก็เริ่มทำการเสิร์ฟอาหาร ซึ่งมีเมนูให้เลือก 2 เมนูคืออาหารญี่ปุ่นและอาหารตะวันตกครับ อาหารญี่ปุ่นจะเป็น Salmon Flakes, Minced Chicken & Scrambled Egg over Steamed Rice (ข้าวราดไข่คนไก่สับและแซลมอน) และอาหารตะวันตกก็จะเป็น Corn & Mushroom Open Omelet with Chicken Sausage (ออมเล็ตและข้าวโพดเสริ์ฟพร้อมไส้กรอกไก่) ผมเลือกเป็นเมนูญี่ปุ่น ก็รสชาติอร่อยพอใช้ได้ครับ
เที่ยวบินนี้ตามตารางบอกว่าใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง 20 นาทีก็จริง แต่เวลาบินจริงใช้เวลาแค่ประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงสนามบินนาริตะที่ญี่ปุ่นแล้วครับ ซึ่งก่อนเครื่องจะ Landing ประมาณ 1 ชั่วโมง พนักงานต้อนรับก็ทำการเสิร์ฟของว่างเป็น Sandwich ให้ผู้โดยสารทานรองท้องแก้หิวช่วงเวลาอาหารกลางวันไปได้อยู่ครับ
หลังจากนั้น 1 ชั่วโมงกัปตันก็ Landing เครื่องลงที่สนามบินนาริตะ ลงนิ่มทีเดียวครับ
การเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน Narita
หลังจากที่เราลงเครื่องที่สนามบินนาริตะแล้ว ก็จะมีเลนให้เราเดินตามป้ายเพื่อไปต่อเครื่องได้เลยครับ ไม่มีการตรวจเอกสารใดๆ ทั้งสิ้นที่นี่แล้วนะครับ เดินไปต่อเครื่องที่เกทปลายทางได้เลย
ที่สนามบินนาริตะ ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นช่วงนี้นั้นค่อนข้างเงียบเหงานะครับ เราจะเห็นมีแต่ผู้โดยสารที่มาเปลี่ยนเครื่องที่นี่ (ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ) เป็นส่วนใหญ่ครับ ร้านรวงต่างๆ ก็ยังปิดอยู่เยอะ แต่พวกร้านขนมของฝากต่างๆ ก็ยังเปิดให้ขาช็อปมาเลือกจับจ่ายซื้อของฝากกันได้อยู่ครับ
สิ่งที่ผมชอบที่สนามบินนาริตะคือตามจุดนั่งพักรอต่อเครื่องจะมีพอร์ต USB และปลั๊กไฟให้เราเสียบสายเพื่อชาร์จโทรศัพท์ได้เยอะมาก สะดวกสบายมากเลยครับ ไม่ต้องคอยหยิบ Power Bank ขึ้นมาชาร์จเอง และยังมีสถานที่ให้เราสามารถนำอาหารมานั่งกินรอต่อเครื่องได้ด้วย เช่นที่ Oliver Sky Oasis ตรงนี้ผมชอบมากคือนั่งกินข้าวไป ดูวิวเครื่องบินไปได้ด้วย
การเดินทาง #2 NRT-SEA
Flight: NH178
Route: Tokyo(NRT)-Seattle(SEA)
Departure Time: 6:00 pm
Arrival Time: 11:10 am
Duration: 9 Hours 10 Minutes
Class: Economy
ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้วครับ ไฟลท์ต่อไปของเราคือบินจากโตเกียวตรงไปลงที่เมือง Seattle ที่สนามบิน Seattle-Tacoma International Airport รัฐ Washington ครับ เวลา Boarding Time คือ 5:30 pm ครับ
ผมสังเกตอย่างหนึ่งว่า ที่สนามบินนาริตะเค้าค่อนข้างจัดไฟลท์ที่บินไปทวีปอเมริกาเหนืออยู่ติดๆ กันหมดเลย ถ้าเราเดินไปดูที่ Departure Board ก็จะเห็นไฟลท์ที่ไปลงเมืองต่างๆ ในอเมริกาและแคนาดาเต็มไปหมดเลย เช่น Los Angeles, Washington DC, Vancouver, Toronto, Chicago, San Francisco, Seattle เรียกได้ว่าที่นี่เป็น Hub หลักในการบินจากทวีปเอเชียเข้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือเลยก็ว่าได้ครับ
โดยวันนี้เรา Boarding กันที่เกท 24 ครับ มีผู้โดยสารเดินทางไป Seattle “เต็มลำ” อีกแล้ว วันนี้เราบินด้วย Boeing 787–8 Dreamliner เป็นรุ่นเก่ากว่าไฟลท์ที่บินมาจากกรุงเทพฯ ครับ
บนเครื่องก็ยังมีอุปกรณ์ Amenities ครบครันเช่นเคยเหมือนกับขาที่มาจากกรุงเทพฯ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ Boeing 787–8 จะไม่มี Live TV on Board ให้เราดูครับ ก็จะเลือกดูได้แค่หนังและซีรีส์ต่างๆ แทนได้ครับ
ที่นั่งของชั้นประหยัดจะจัดเป็น 3–3–3 ยกเว้นแถวที่ 33 จะจัดเป็น 2–3–2 ซึ่งผมได้ที่นั่งแถวนั้นพอดี ทำได้มีที่ว่างระหว่างที่นั่งกับหน้าต่างนิดนึง เหยียดขาได้สบายเลย
กัปตัน Push Back เครื่องและ Take Off ได้ตรงตามเวลาดีเช่นเคยครับ หลังจากเครื่องไต่ระดับความสูงขึ้นไปได้ระดับหนึ่ง พนักงานต้อนรับก็เริ่มเสริ์ฟอาหารมื้อแรกเป็นเมนูอาหารเย็นครับ ผมเลือกเป็นข้าวกับปลาทอดราดซอสครับ อร่อยดี เนื้อปลานุ่มมาก
หลังจากทานอาหารเสร็จก็เริ่มปรับแสงในเครื่องให้มืดลงเพื่อให้เราได้พักผ่อนกันครับ ไฟลท์นี้ตามกำหนดคือใช้เวลาบิน 9 ชั่วโมง 20 นาที แต่บินจริงๆ จะใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง 50 นาทีก็ถึง Seattle แล้วครับ ซึ่งผมรู้สึกว่าไฟลท์ที่บินไป Seattle น่าจะเป็นเส้นทางที่ใช้เวลาบินจากโตเกียวไปอเมริกาที่สั้นที่สุดแล้วครับ เส้นทางอื่นๆ น่าจะมี 9–10 ชั่วโมงขึ้นไปเลย
หลังจากเดินทางไปประมาณ 6 ชั่วโมง พนักงานต้อนรับก็เริ่มทำการเสิร์ฟอาหารมื้อที่ 2 ครับ ผมตื่นขึ้นมากินอีกรอบ มื้อนี้เลือกเป็นข้าวกับแซลมอนสับกับไก่ เป็นเมนูอาหารญี่ปุ่น อร่อยดีครับ แนะนำว่าถ้าใครที่บินออกจากโตเกียวลองเลือกเป็นเมนูอาหารญี่ปุ่นน่าจะดีครับ เพราะครัวอาหารญี่ปุ่นอยู่ที่นั่นก็จะทำให้เรามีโอกาสได้เลือกเมนูอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ เยอะเลย
หลังจากทานข้าวมื้อที่สองเสร็จประมาณชั่วโมงกว่าๆ กัปตันก็เริ่มลดระดับเพดานบินลงและ Landing ลงที่สนามบิน Seattle-Tacoma International Airport อย่างปลอดภัยและถึงก่อนเวลาตามตารางด้วยครับ
ที่สนามบิน Seattle-Tacoma International Airport (คนที่นี่จะเรียกสั้นๆ ว่า “SeaTac”) นั้นกว้างใหญ่มากครับ อยู่ทางตอนใต้ของเมือง Seattle ครับ ที่นี่เราจะต้องรับกระเป๋าก่อนแล้วค่อยไปผ่านตม.นะครับ ซึ่งจะต่างกับหลายๆ สนามบินที่จะให้เราผ่านตม.ก่อนแล้วค่อยไปรับกระเป๋าเดินทาง ไฟลท์ของเรามาถึงใกล้ๆ กับไฟลท์ของสายการบิน Japan Airlines ที่บินออกจากโตเกียวในเวลาใกล้เคียงกันเลยครับ
สรุป
เป็นการเดินทางไปอเมริกาของผมที่ใช้เวลาน้อยที่สุดตั้งแต่เคยไปมาเลยครับ การบริการของสายการบิน ANA ก็ดีเยี่ยมไม่มีอะไรให้ติเลย อาหารอร่อย สนามบินนาริตะก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารต่อเครื่องมากมาย ดีมากๆ และสายการบิน ANA ก็ยังมีไฟลท์ที่บินไปลงหลายๆ เมืองในอเมริกาเยอะเลย ทั้ง LA, San Francisco, Seattle, Houston, Washington DC, Chicago, Houston, New York, etc. เรียกได้ว่าเมืองใหญ่ๆ มีไฟลท์ไปลงหมดเลย ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งสำหรับใครที่แพลนว่าจะเดินทางไปอเมริกากันนะครับ ไว้มีโอกาสจะมาเขียนไฟลท์รีวิวขากลับจากอเมริกาให้ได้อ่านกันอีกนะครับ Happy Travels!