รีวิวลุยเดี่ยวเที่ยวคิวชูญี่ปุ่น 10 วัน 9 คืนโดยใช้ JR Kyushu Pass และ SunQ Pass EP.2

Traitanit Huangsri
6 min readApr 28, 2024

มาต่อกันที่ EP.2 ของการลุยเดี่ยวเที่ยวคนเดียวในภูมิภาคคิวชู (Kyushu) ประเทศญี่ปุ่น ความเดิมในตอนที่แล้วเราได้ไปเที่ยวในตัวเมืองฟุกุโอกะและเมืองรอบๆ อย่าง Nanzoin และ Dazaifu กันแล้ว ในตอนนี้เราจะเริ่มเดินทางออกไปเที่ยวเมืองอื่นๆ ในคิวชูกันบ้าง เริ่มต้นที่เมือง Yufuin และ Beppu ในจังหวัดโออิตะ (Oita) กันเลยครับ สำหรับใครที่เพิ่งเข้ามาอ่านบทความนี้เป็นครั้งแรกและอยากตามอ่านตอนก่อนหน้านี้สามารถติดตามได้จากลิ้งค์ด้านล่างนี้เลยครับ

Day3: เดินทางไปเมือง Yufuin ด้วย JR Kyushu Pass

ผมเริ่มต้นการเดินทางวันที่ 3 ของทริปด้วยการเริ่มใช้พาสรถไฟ JR Northern Kyushu Pass ออกจากฟุกุโอกะที่สถานี Hakata ไปยังเมืองตากอากาศสุดชิลล์ที่ยุฟุอิน (Yufuin) ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีก็ตั้งใจจะนั่งรถไฟท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Yufuin No Mori นั่งตรงยาวๆ จาก Hakata ไป Yufuin โดยตรงเลย แต่ก็อยากที่ทราบๆ กันว่ารถไฟท่องเที่ยวสายนี้นั้นจองยากมากถึงยากที่สุด และผมเองก็ชะล่าใจไปหน่อย เข้าไปเช็คที่นั่งอีกทีก็คือเต็มหมดทุกที่นั่งแล้ว รวมถึงรถไฟสายอื่นที่วิ่งตรงจาก Hakata ไป Yufuin อย่าง JR Yufu ก็เต็มหมดแล้วเช่นกัน ผมก็เลยจำเป็นจะต้องใช้แผนสำรองโดยการนั่งรถไฟ JR Sonic Line จาก Hakata ไปลงที่เมือง Oita ก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนสายที่สถานี Oita เป็น JR Kyudai ซึ่งเป็น Local Train ที่วิ่งไปลงที่สถานี Yufuin ได้เช่นกัน ก็เป็น Route ที่อาจจะไม่ค่อยมีคนไทยนั่งไปกัน เพราะมันจะอ้อมนิดนึง แต่ผมว่ามันก็ได้บรรยากาศสวยๆ ไม่เหมือนใครดีครับ 55+

เส้นทางการเดินทาง Hakata-Oita-Yufuin

ซึ่งเอาแค่ค่าเดินทางของเส้นทางนี้ก็ 7,040 เยนเกินครึ่งของค่า JR Kyushu Pass ที่ซื้อมาแล้ว คุ้มค่ามากครับ เอาเป็นว่านั่งรถไฟชมวิวกันเพลินๆ ครับ เพราะส่วนตัวผมก็เป็นคนชอบนั่งรถไฟเที่ยวอยู่แล้วด้วยครับ นั่งไปไม่เบื่อเลย

รถไฟ Sonic Line ที่จะพาเราไป Oita วันนี้

วันนี้เราเดินทางจากสถานี Hakata ไปยังสถานี Oita ด้วยรถไฟ “JR Sonic Nichirin” ซึ่งให้บริการระหว่าง Hakata-Kokura-Oita วิ่งถี่มากๆ 30 นาทีต่อขบวน ทำความเร็วได้สูงสุด 130km/h จาก Hakata ไปสุดที่ Oita ใช้เวลาราวๆ 2 ชม.เท่านั้นครับ

ที่นั่งบนรถไฟ JR Sonic 5

สำหรับที่นั่งบนรถไฟ JR Sonic รุ่นที่ผมขึ้นจะเป็น 885 EMU series (รุ่นที่ใช้งานมาตั้งแต่ปี 2001) ที่นั่งกว้างขวาง มี USB, Free Wifi ให้ใช้พร้อม มี Luggage Storage กระเป๋าเดินทางผม 26 นิ้ววางได้สบายๆ มีสายคาดล็อกกันกระเป๋าเลื่อนให้ด้วย ดีงามครับ

Luggage Storage บน JR Sonic

เมื่อขึ้นรถไฟ JR ของญี่ปุ่นผมก็ไม่ลืมที่จะซื้อข้าวกล่องเบนโตะซึ่งเป็น signature ของการเดินทางด้วยรถไฟของญี่ปุ่นจากสถานี Hakata ขึ้นมากินบนรถไฟด้วย วันนี้เลือกเป็นเมนูข้าวหน้าเนื้อเมนไทโกะมากินครับ อร่อยดี

Bento ข้าวหน้าเนื้อเมนไกโกะ
วิวจาก JR Sonic

วิวสองข้างทางก็ต้องบอกเลยว่าสวยงามมาก โดยเฉพาะเมื่อรถไฟวิ่งเลียบชายทะเลฝั่งตะวันออกของภูมิภาคคิวชูบริเวณเมือง Usa, Beppu เราก็จะได้เห็นวิวทะเลอ่าว Beppu ตัดกับภูเขาสวยๆ แบบนี้เลย แนะนำให้จองที่นั่งฝั่งขวาของรถไฟไว้นะครับ จะฟินมาก

JR Kyudai จาก Oita — Yufuin

หลังจากนั่งรถไฟ JR Sonic มาได้ 2 ชม. ก็มาถึงสถานี Oita เพื่อเปลี่ยนขบวนรถไฟเพื่อต่อไปยัง Yufuin ผมมีเวลา 7 นาทีก็เรียกได้ว่า”ล่ก”เลยครับ 55+ คว้ากระเป๋าเดินทางวิ่งเปลี่ยน Platform ชานชาลารถไฟไปขึ้นรถไฟ JR Kyudai ซึ่งเป็นรถไฟ Local Train (รถไฟหวานเย็น) ที่จะมุ่งหน้าไปยังเมือง Yufuin ใช้เวลาเดินทางต่ออีกราวๆ 1 ชม.นะครับ เพราะรถไฟจะจอดทุกสถานีเลย

รถไฟ Kyudai เป็น Local Train ดังนั้นก็จะไม่มีที่วางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ ก็แนะนำให้ใช้มือจับไว้ให้มั่นตลอด 1 ชม.ของการเดินทางนะครับ และแล้วผมก็มาถึงสถานี Yufuin จนได้ มาถึงก็เจอรถไฟ Yufuin No Mori ที่จองไม่ทันมาจอดส่งผู้โดยสารไว้อีกชานชาลา รถไฟสวยจริงๆ เดี๋ยวในวันพรุ่งนี้ผมจะนั่งรถไฟขบวนนี้ไปเมือง Beppu กันด้วยครับ ติดตามกันต่อไปครับ

บรรยากาศหน้า Yufuin Station

เมือง Yufuin ถือได้ว่าเป็นเมืองตากอากาศสุดชิลล์ ตั้งอยู่ในจังหวัดโออิตะ ภูมิภาคคิวชู ภูมิประเทศของเมืองอยู่ใจกลางหุบเขา Mount Yufu (ที่เห็นในภาพด้านหลัง) เป็นเมืองที่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดโออิตะ เพราะมีธรรมชาติที่สวยงาม และยังเป็นเมืองที่มีบ่อออนเซ็นและโรงแรมเรียวกังจำนวนมากให้เราสามารถมาพักผ่อนแช่ออนเซ็นกันได้ที่นี่ ที่นี่มีนักท่องเที่ยวเยอะมากๆ ในทุกๆ วันโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีผมว่าเยอะที่สุดเลย นึกว่าอยู่เกาหลีเลยครับ 55+

ผมฝากกระเป๋าที่พักแล้วก็ออกไปเดินเล่นเที่ยวในเมือง มื้อกลางวันนี้ผมเลือกฝากท้องที่ร้านราเมงในตัวเมืองชื่อร้าน “Samurai Ramen” ร้านราเมงท้องถิ่นน้ำซุปทงคัตสึสไตล์ของคิวชู ผมสั่งเป็นราเมงกับเกี๊ยวซ่ากินคู่กัน อร่อยดีครับ มีคนมาต่อคิวกินกันเต็มเลย

ราเมงกับเกี๊ยวซ่าร้าน Samurai Ramen

หลังจากอิ่มท้องแล้วก็ออกไปเดินเล่นย่อยอาหารที่ถนนคนเดิน “Yunotsubo Kaido Street” ซึ่งเป็น Shopping Street ชื่อดังของเมืองยุฟุอิน ของกินเพียบ ทั้งขนม ไอศครีม ของหวานต่างๆ เยอะน่ากินไปหมดเลยครับ

ผมเดินต่อเลยจากถนน Yunotsubo Kaido Street ต่อไปยัง Yufuin Floral Village ที่นี่เปรียบเสมือนหมู่บ้านที่หลุดมาจากการ์ตูนเลย เต็มไปด้วยตัวละคร Characters ชื่อดังจาก Ghibli Studio เต็มไปหมด ทั้ง Totoro, Spirited Away, etc มีของที่ระลึกเกี่ยวกับตัวการ์ตูนเหล่านี้ขายเยอะไปหมด ใครที่เป็นสาวกของ Ghibli Studio จะต้องชอบมากๆ แน่นอนครับ

ไอติม Soft Serve ของร้าน Snoopy Chaya Yufuinten

เดินต่อจากบริเวณนี้ก็จะมีร้านของ Snoopy Chaya Yufuinten ร้านขายของที่ระลึกของเจ้า Snoopy ตัวการ์ตูนชื่อดัง ใครเป็นสาวก Snoopy ต้องไม่พลาดแวะมาที่นี่กันนะครับ ผมแวะซื้อไอติม Soft Serve ของร้านนี้ อร่อยดีครับ

บรรยากาศที่ Kinrin Lake
เสาโทริอิลอยน้ำ

และไฮไลท์ของการมาเที่ยวยุฟุอินก็คือการมาที่ทะเลสาบ Kinrin Lake ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน Yufuin Floral Village เลยครับ เดินต่อมาอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ทะเลสาบ Kinrin เป็นทะเลสาบที่มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ข้างใต้ทำให้เป็นทะเลสาบที่มีน้ำอุ่นตลอดทั้งปี บรรยากาศรอบข้างก็เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม ยิ่งช่วงเช้าๆ ถ้าใครมาที่นี่อากาศดีๆ อาจจะได้เห็นควันไอน้ำลอยพุ่งขึ้นมาจากทะเลสาบด้วย และที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยมากที่สุดแห่งหนึ่งในคิวชูอีกด้วย ต้องมาเลยนะครับ

วิวจาก Yufumi Bridge

ในเมือง Yufuin ยังมีจุดถ่ายรูปสวยๆ อีกมาย หลายๆ จุดที่นักท่องเที่ยวไม่เยอะก็มีนะครับ อย่างเช่นบริเวณสะพาน Yufumi Bridge ตรงนี้คนน้อยและวิวสวย ถ่ายรูปเห็นทั้งดอกไม้บานและ Mount Yufu ด้านหลังด้วย ดีต่อใจมากครับ

หลังจากเที่ยวในยุฟุอินกันเต็มอิ่มแล้ว มื้อเย็นวันนี้ผมเดินกลับไปบริเวณสถานีรถไฟ Yufuin Station แวะกินมื้อเย็นที่ร้าน Nagomi เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบ Local หน่อยๆ มีเมนูให้เลือกหลากหลาย วันนี้ผมจิ้มเลือกเป็นเมนูเซตไก่ผัดซอสกะทะร้อน ก็อร่อยดีนะครับ

เซตไก่กะทะร้อนที่ร้าน Nagomi

หลังจากที่เที่ยวเต็มอิ่มกันมาทั้งวันแล้ว ผมก็เดินกลับรร.ที่พัก ผมเลือกพักที่ “Minshuku Tsutaya” (ไม่ได้ sponsor แต่อย่างใด) เป็นโรงแรมสไตล์เรียวกังแบบราคาประหยัด มีออนเซ็นให้แช่ (เสียค่า Onsen Tax เพิ่ม 150 เยน) ผมว่าสไตล์มันเป็นแบบ Homestay บ้านคนญี่ปุ่นเลย มีคุณป้ากับลูกชายคอยดูแลกิจการกันเอง ฟีลโลคอลสุดๆ ครับ ห้องก็กว้าง นอนเสื่อ Tatami สไตล์ญี่ปุ่น หลับสบายมากครับ

รร. ที่พักเป็นแบบเรียวกัง นอนเสื่อ Tatami สบายตัวสุดๆ
บ่อ Onsen ในรร.เป็นแบบ public แต่ไม่ค่อยมีคนใช้ รู้สึก Private มากครับ

ผมชอบบ่อออนเซ็นที่นี่มาก ได้บรรยากาศแบบคนญี่ปุ่นมาแช่ออนเซ็นจริงๆ ถึงจะไม่ได้ใหญ่โตแต่วิวที่มองไปนั้นก็เป็นวิวภูเขายุฟุพร้อมกับอากาศเย็นๆ ฟินมากครับ แช่ไป 2 รอบเลย

Day4: ไปแช่ออนเซ็นต่อที่เมืองเบปปุ(Beppu)

Morning Run รอบเมืองยุฟุอิน

วันที่ 4 ของทริป ตอนเช้าผมตื่นมาวิ่งออกกำลังกายรอบยุฟุอิน บรรยากาศดีมากครับ ได้ดูวิว Kinrin Lake ยามเช้าพร้อมอากาศเย็นๆ ตอนเช้าประมาณ 10 °c อากาศดีมากครับ วิ่งถ่ายรูปรอบๆ เมืองยามเช้าดูบรรยากาศการใช้ชีวิตของคนท้องถิ่นที่นี่แบบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย

ช่วงสายวันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกตลอดทั้งวัน และก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ คือวันนี้ฝนตกทั้งวัน ทำให้ไปเที่ยวไหนไม่ค่อยได้เลย ผมได้จองรถไฟสายท่องเที่ยว “Yufuin No Mori” ไว้รอบเที่ยงครึ่ง เพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Beppu กันต่อ

เส้นทางการเดินทางจาก Yufuin-Beppu

เมื่อถึงเวลาเดินทาง รถไฟก็มาจอดรอให้เรา Board ขึ้นกันก่อนเวลาประมาณ 10 นาที มีผู้โดยสารมารอขึ้นกันเยอะเลยครับ ในที่สุดผมก็ได้นั่งรถไฟยอดฮิตสายนี้แล้ว แนะนำว่าใครที่จองที่นั่งในเส้นทางจาก Hakata-Yufuin ไม่ทัน แล้วเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับให้ลองเลือกจองขากลับดูครับ เพราะจะมีโอกาสจองที่นั่งได้มากกว่า หรือถ้าใครจะไปเที่ยวเมือง Beppu ต่อแบบผมก็จะมีโอกาสจองที่นั่งได้มากกว่าเพราะเส้นทางจาก Yufuin ไป Beppu ผู้โดยสารจะน้อยกว่า Hakata-Yufuin ครับ

เส้นทางนี้ค่าโดยสารพร้อมค่า Reserved Seat รวม 3,560 เยน เราใช้ JR Kyushu Pass ใช้งานได้เลย

รถไฟสาย Yufuin No Mori เป็นหนึ่งในรถไฟสายท่องเที่ยว D&S (Design & Story) แบบ Limited Express ของการรถไฟภูมิภาคคิวชู (Kyushu Railway Company) เริ่มให้บริการครั้งแรกตั้งแต่ปี 1989 หรือกว่า 35 ปีแล้ว ตัวขบวนรถไฟใช้ Rolling Stock ตระกูล KiHa series (รุ่นเดียวกับที่ทางการรถไฟญี่ปุ่นบริจาครถไฟสายท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยเราเลยครับ) ภายในมีการตกแต่งขบวนให้เป็นรถไฟท่องเที่ยว มีตู้สเบียงขายอาหาร ขนม เครื่องดื่มต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของรถไฟสายนี้

เบาะที่นั่งของ Yufuin No Mori

เบาะที่นั่งตกแต่งสีสันสีเขียวตามธีมของขบวนรถไฟที่ให้ความรู้สึกเหมือนคุณได้เข้าไปอยู่ในป่า นั่งสบาย ที่วางพักแขนสามารถเปิดขึ้นมาเป็นโต๊ะทานอาหารได้ ด้านหน้าที่นั่งมีที่วางเท้าสามารถเอาเท้ามาพักเพื่อความผ่อนคลายได้ เรียกว่านั่งสบายสุดๆ ครับ

Yufuin Wappa Bento Set

แน่นอนว่าผมรอเพื่อไปซื้ออาหารบนรถไฟซึ่งเป็น Bento เซ็ตสุด Exclusive ที่มีชื่อว่า Yufuin Wappa ประกอบไปด้วยข้าวปั้น “Temari Onigiri” พร้อมทั้งไก่ทอดและไข่หวานและผักที่เป็นผลผลิตในจังหวัดโออิตะเลย ราคา 1,000 เยน ของหวานผมเลือกสั่งชีสเค้ก Kasekuchen ตัวเนื้อชีสเค้กทำจากนมที่มาจากเมืองยุฟุอินเช่นกัน ราคา 350 เยน อร่อยดีครับ

ของที่ระลึกบนรถไฟ Yufuin No Mori

นอกจากนี้ก็ยังมีโปสการ์ดสำหรับใครที่ชอบสะสม stamp รถไฟญี่ปุ่นก็สามารถมาหยิบไปประทับตราเก็บเป็นที่ระลึกได้เลย และก็ยังมีสินค้าที่ระลึกต่างๆ อีกมากมายที่สามารถซื้อเป็นของที่ระลึกกลับไปได้ด้วยครับ

ถึงสถานี Beppu Station แล้ว

ใช้เวลาเดินทางบนรถไฟประมาณ 1 ชม. ก็มาถึงที่สถานี Beppu Station เรียบร้อย วันนี้อากาศไม่ค่อยดีฝนตกตลอดทางทำให้อดเห็นวิวสวยๆ ฟ้าใสๆ เลย น่าเสียดายครับ

เที่ยวบ่อน้ำพุร้อนเมือง Beppu

เมื่อถึงเมืองเบปปุ ผมเอากระเป๋าฝากไว้ที่โรงแรมและออกไปเที่ยวเมืองเบปปุท่ามกลางฝนที่ตกตลอดทั้งวัน ที่เมืองเบปปุนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของบ่อน้ำพุร้อนที่มีอยู่กว่า 8 บ่อรอบเมืองเบปปุ เรียกได้ว่าถ้าเราซูมออกมาดู Top View ของเมืองนี้อาจจะได้เห็นควันของบ่อน้ำพุร้อนลอยขึ้นเหนือฟ้ากันรอบเมืองเลยทีเดียว

จากสถานี Beppu Station ผมนั่งรถเมล์สาย 7 มาลงที่ Umijigoku Mae เพื่อเข้าไปดูบ่อน้ำพุร้อนชื่อดังอย่าง Jigoku Meguri Hells Tour กันครับ ค่าโดยสาร 390 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 23 นาที

เส้นทางจาก Beppu ไปยัง Unijigoku Mae

เมื่อมาถึง Jigoku Meguri Hells Tour ก็จะพบกับควันของบ่อน้ำพุร้อนพวยพุ่งขึ้นมาอย่างมากมาย ที่บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้จะเรียกกันอีกอย่างว่าเป็น Hells of Beppu ด้วยสีของน้ำพุร้อนที่มีหลากหลายสีรวมถึงสีแดงสดคล้ายกับเลือดซึ่งจริงๆ เกิดจากแร่ธาตุที่มารวมกับน้ำแร่จากธรรมชาติทำให้กลายออกมาเป็นสีแดงอย่างที่เห็นครับ

Umi Jigoku บ่อน้ำสีฟ้า ต้มไข่ได้เลย เป็นบ่อที่ใหญ่ที่สุดใน Beppu
ต้มไข่ได้จริงๆ เพราะมีอุปกรณ์พร้อมไข่ขายพร้อม

ช่วงที่ไปมีฝนตกเยอะ ทำให้แทบมองไม่ค่อยเห็นบ่อน้ำพุร้อนชัดๆ เลย เพราะมีควันลอยออกมาหนาตามากครับ แต่ก็ได้กลิ่นซัลเฟอร์ชัดมากและรับรู้ได้ว่าน้ำร้อนจริงๆ เพราะสามารถนำไข่มาต้มกินได้เลย ที่นี่มีค่าเข้าชม 450 เยนด้วยนะครับ หรือถ้าใครจะซื้อตั๋วแบบเหมาชมทุกบ่อ (แต่มันไม่ได้อยู่ติดกัน ต้องนั่งรถไปตามจุดต่างๆ รอบเมือง) จะมีตั๋วแบบเหมาขายในราคา 2,200 เยน

แช่ออนเซ็นใน Beppu ที่ Kaimonji Onsen

แน่นอนว่าใครที่มาเบปปุซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องบ่อน้ำพุร้อน (Hot Spring) ก็ควรจะหาที่แช่ออนเซ็นลองดูซักครั้งนะครับ รร.ที่ผมไปพักซึ่งก็คือ Hotel New Tsuruta ซึ่งมี Public Onsen ให้บริการอยู่ แต่ช่วงที่ผมไปพักรร.กำลังปิดปรับปรุงรีโนเวทออนเซ็นใหม่ ทางรร.เลย offer สถานที่ใช้บริการ Onsen แบบ Public Bath ข้างนอก ซึ่งผมเลือกไปใช้บริการที่ “Kaimonji Onsen” ซึ่งเป็นออนเซ็นสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม เดินไปประมาณ 7 นาทีก็ถึงแล้วครับ เป็นออนเซ็นที่เพิ่งรีโนเวทใหม่ แต่เป็นแบบ Indoor แยกชายหญิงครับ คนท้องถิ่นที่นี่มาใช้บริการเยอะพอสมควรเลย ก็ได้บรรยากาศการแช่ออนเซ็นแบบสาธารณะจริงจังครั้งแรกเลยครับ

Kaimonji Onsen เป็น Public Onsen ในเมืองเบปปุ
อุปกรณ์อาบน้ำ ทางรร.เตรียมให้พร้อมเลย

แอบรู้สึกว่าน้ำร้อนที่ออนเซ็นที่นี่มันร้อนกว่าที่เคยแช่ที่อื่นมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันเป็นบ่อแบบ indoor ด้วยรึเปล่า แต่แช่ได้ไม่เกิน 10 นาทีก็ต้องขึ้นมานั่งพักแล้วครับ ร้อนไม่ไหว 55+ แต่พอแช่เสร็จแล้วอาบน้ำก็รู้สึกสบายตัวดีเหมือนกันนะครับ

ขากลับโรงแรมเดินผ่าน Beppu Tower กำลังเปิดไฟยามค่ำคืนก็สวยงามไปอีกแบบเลยครับ

Mukashi Ramen Onigiri Set

มื้อเย็นวันนี้ผมแวะทาน Ramen (อีกแล้ว) ที่ร้าน Taiho Ramen เป็นราเมงท้องถิ่นของเมืองเบปปุชื่อเมนูว่า Mukashi-Ramen สั่งเกี๊ยวซ่ามากินด้วยเหมือนเดิมครับ ราคาเซ็ตนี้ 1170 เยน อิ่มคุ้มจุกๆ ครับ ราเมงน้ำซุปเข้มข้น หมูนุ่มมาก อร่อยดีครับ

สรุป

ในตอนที่ 2 นี้ก็จะเน้นที่การเดินทางไปเที่ยวเมือง Yufuin กันและเดินทางต่อมายังเมือง Beppu ด้วยรถไฟท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Yufuin No Mori เป็นรถไฟสายท่องเที่ยวที่ถ้าใครมาเที่ยวภูมิภาคคิวชูแล้วอย่าลืมจองเพื่อใช้บริการดูซักครั้งนะครับ ประทับใจไม่ลืมทั้งการบริการ อาหารการกินต่างๆ ครบครัน และเราก็ไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนที่เมืองเบปปุกันท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาตลอดทั้งวัน ในตอนหน้าจะพาทุกคนนั่งรถไฟขึ้นไปเที่ยวเมืองคิตะคิวชู (Kitakyushu) และชิโมโนเซกิ (Shimonoseki) ซึ่งเป็นขอบของภูมิภาคคิวชูติดกับเกาะฮอนชูเลย ฝากติดตามกันด้วยนะครับ Happy Travel!

--

--