รีวิวลุยเดี่ยวเที่ยวคิวชูญี่ปุ่น 10 วัน 9 คืนโดยใช้ JR Kyushu Pass และ SunQ Pass EP.1

Traitanit Huangsri
7 min readApr 27, 2024

สวัสดีครับ บทความนี้จะมารีวิวการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นของผมอีกครั้ง เป็นทริปลุยเดี่ยวเที่ยวคนเดียวในภูมิภาคคิวชู (Kyushu) 10 วัน 9 คืน โดยใช้การเดินทางแบบใช้ขนส่งมวลชนทั้งรถไฟและรถบัสแบบเหมาๆสุดคุ้ม โดยพาร์ทแรกของการเดินทางด้วยรถไฟโดยใช้ JR Kyushu Pass และครึ่งหลังของการเดินทางโดยรถบัสโดยใช้ SunQ Pass ทริปนี้เป็นการตะลุยเที่ยวรอบคิวชูแบบไปครบทุก Landmark ที่สำคัญที่ควรไปซักครั้งในชีวิตเมื่อมาถึงคิวชู ใครที่กำลังวางแผนไปท่องเที่ยวคิวชูประเทศญี่ปุ่นอยู่สามารถตามอ่านบทความนี้และไปเที่ยวตามกันได้เลยครับ

การวางแผนการท่องเที่ยว (Trip Plan)

แพลนการท่องเที่ยวของผมในทริปนี้ผมคิดและวางแผนด้วยตัวเองทั้งหมด โดยเป็นการเที่ยวรอบคิวชูโดยจะไปแวะพักอยู่ 4 เมืองหลักสลับกันไปในแต่ละวันได้แต่ ฟุกุโอกะ (Fukuoka) (4 คืนแบ่งเป็นสองช่วงๆ ละ 2 คืน), ยุฟุอิน (Yufuin) (1 คืน), เบปปุ (Beppu) (2 คืน) และคุมาโมโตะ (Kumamoto) (2 คืน) และวางแผนการเที่ยวในเมืองต่างๆ ดังนี้

D1: เดินทางถึงฟุกุโอกะช่วงค่ำ
D2: เที่ยวในฟุกุโอกะและเมืองใกล้เคียงอย่าง Nanzoin และ Dazaifu
D3: เที่ยวในยุฟุอิน นอนที่ Yufuin ใช้ JR Kyushu Northern Pass วันที่ 1
D4: เที่ยวในเบปปุ นอนที่ Beppu ใช้ JR Kyushu Northern Pass วันที่ 2
D5: เที่ยวในคิตะคิวชู (Kitakyushu), ชิโมโนเซกิ (Shimonoseki) กลับมานอนที่ Beppu ใช้ JR Kyushu Northern Pass วันที่ 3
D6: เที่ยวในอะโซะ (Aso) ด้วยรถบัสและไปนอนที่คุมาโมโตะ ใช้ SunQ Pass วันที่ 1
D7: เที่ยวในทากะชิโฮ (Takachiho) ด้วยรถบัสและกลับมานอนที่คุมาโมโตะ ใช้ SunQ Pass วันที่ 2
D8: เที่ยวในคุมาโมโตะและนั่งบัสกลับไปฟุกุโอกะเที่ยวต่อในฟุกุโอกะ ทั้งหมดใช้ SunQ Pass วันที่ 3
D9: เที่ยวในฟุกุโอกะด้วยรถบัสตั๋วเหมาด้วย Fukuoka City 24-hour Pass
D10: เดินทางไปสนามบินแต่เช้าและบินกลับไทยช่วงสาย

ในตอนแรกของบทความนี้จะมารีวิวการเที่ยวในวันที่ 1–2 ของผมซึ่งก็คือการเที่ยวในเมืองฟุกุโอกะและการแลกพาสต่างๆ ที่ใช้ในการเดินทางกันก่อนนะครับ ส่วนในวันอื่นๆ สามารถติดตามอ่านได้ในบทความ EP ต่อๆ ไปครับ

การเดินทางมาฟุกุโอกะ

ในทริปนี้ผมเลือกเดินทางบินกับสายการบิน China Airlines ของไต้หวันโดยทำการแวะเปลี่ยนเครื่องและแวะเที่ยวที่ไทเป 1 คืนด้วยครับ เป็นสายการบิน Full Service ที่บริการดี อาหารอร่อย ราคาดี ที่นั่งกว้างขวาง นั่งสบาย เดินทางไม่เหนื่อยเลยครับ แถมได้เที่ยวไต้หวันอีกประเทศด้วย เผื่อใครสนใจก็ลองติดตามอ่านกันได้ในลิ้งค์ด้านล่างนี้ครับ

Day1: เดินทางถึง Fukuoka

Fukuoka Airport

ในทริปนี้ผมตั้งใจที่จะเลือกไฟลท์ที่บินจากไทเปมายังฟุกุโอกะเป็นไฟลท์เย็น เนื่องจากผมต้องการให้เวลาในการเที่ยวไทเปในช่วงแวะพักเปลี่ยนเครื่องเยอะหน่อยครับ ทำให้ในวันแรกผมเดินทางมาถึง Fukuoka ในช่วงค่ำประมาณ 2 ทุ่มกว่าแล้ว เมื่อถึงสนามบินก็ผ่านตม. ซึ่งในครั้งนี้ผมก็ลงทะเบียน Visit Japan ไว้เป็นที่เรียบร้อย ทำให้การผ่านการตรวจคนเข้าเมืองประเทศญี่ปุ่นก็รวดเร็วมากๆ เพียงแค่เราแสดง QR Code ที่เราได้จากการลงทะเบียนพร้อมยื่น Passport ให้กับเจ้าหน้าที่ตม. ก็สามารถผ่านและไปรอรับกระเป๋าได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลาไปได้มาก ไม่ต้องกรอกทั้งแบบฟอร์ม Arrival Card และ Custom Declaration แล้ว ใช้ Visit Japan QR Code เดียวจบเลยครับ แนะนำว่าใครที่มีแผนจะมาเที่ยวญี่ปุ่นก็ลงทะเบียนไว้ได้เลยครับ สะดวกมากๆ

JR Hakata Station ในช่วงค่ำๆ

หลังจากรับกระเป๋าเสร็จแล้วก็ออกมาจากสนามบินโดยเราจะต้องนั่งรถบัสจาก International Terminal ไปยัง Domestic Terminal ก่อนเพื่อจะต่อรถไฟใต้ดินเข้าเมืองอีกทีนึง หรือใครจะนั่งบัสจากสนามบินเข้าเมืองก็ทำได้เช่นกันครับ ผมนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินของ Fukuoka จากสถานี Fukuoka Airport มาลงยังสถานี Hakata Station ใช้เวลาราวๆ 15 นาทีก็ถึงแล้วครับ ผมจองโรงแรมที่พักไว้ใกล้ๆ สถานีรถไฟ Hakata Station เพื่อความสะดวกในการเดินทาง หลังจากนั้นก็เดินเข้าที่พักแล้วก็พักผ่อนครับ วันแรกไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนเลย เดินทางอย่างเดียว

Day2: เที่ยวใน Fukuoka, Nanzoin และ Dazaifu

Ohori Park

วันที่ 2 ผมตื่นแต่เช้าไปออกกำลังกายกันก่อนครับ ผมเลือกนั่งรถเมล์จากที่พักไปยังสวนสาธารณะ Ohori Park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางเมืองฟุกุโอกะเลย เป็นสถานที่ๆ ผู้คนต่างมาพักผ่อนหย่อนใจ เดินวิ่งออกกำลังกายกัน และตรงกลางสวนยังมีสระน้ำขนาดใหญ่ให้เราได้มาชมวิวสวยๆ รอบๆ และก็มีเรือเป็ดที่เราสามารถเช่าถีบได้ด้วย บรรยากาศดีมากๆ ครับ

วิ่ง 10k รอบสวน Ohori Park

สำหรับสายนักวิ่ง 1 รอบของสวนโอโฮริจะกินระยะทางประมาณ 2 km ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเช้าอากาศประมาณ 15°c กำลังดีเลยครับ เลยวิ่งไป 5 รอบ 10km พอดี รอบๆ ก็ยังมีต้นดอกซากุระบานให้เห็นเหลืออยู่บ้าง ดีต่อใจสุดๆ ครับ

หลังจากออกกำลังกายเสร็จแล้วผมก็กลับมาที่พักอาบน้ำ ทานข้าวและเดินทางต่อไปยังวัด Nanzoin ที่เมือง Sasaguri ห่างออกไปจากตัวเมือง Fukuoka ประมาณครึ่งชม.เท่านั้น โดยเราสามารถนั่งรถไฟ JR สาย Fukuhoku Yutaka Line จากสถานี Hakata ไปลงที่สถานี Kidonanzoin-mae Station และเดินต่อนิดนึงเข้าไปยังตัววัดได้เลย สะดวกมากๆ ค่าโดยสาร 380 เยน

เส้นทางไปวัด Nanzoin ด้วยรถไฟ JR Fukuhoku Yutaka Line

การเดินทางในวันนี้ผมเลือกจ่ายค่าโดยสารเป็นรายเที่ยวโดยการใช้ IC Card หรือบัตรเติมเงินของญี่ปุ่น ซึ่งเราสามารถเลือกใช้ได้ทั้ง IC Card ที่เป็น Suica, Icoca หรือในภูมิภาคคิวชูก็มีบัตร IC Card ที่ใช้ได้ทั้ง Nimoca, Hayakaken และ Sugoga ก็ได้ครับ ก็เติมเงินเข้าไปด้วยตู้เติมเงินอัตโนมัติในสถานีรถไฟต่างๆ ได้เลย

JR Fukuhoku Yutaka Line ไปยังวัด Nanzoin
วิวระหว่างทางไป Nanzoin

บรรยากาศสองข้างทางที่จะไปวัด Nanzoin อย่าเผลอหลับทีเดียวเชียว เพราะมันสวยมาก ผ่านบ้านคนและวิวภูเขาสวยๆ ตลอดสองข้างทาง หลังจากนั่งมาได้ครึ่งชม.ก็ถึงสถานี Kidonanzoin-mae Station แล้วครับ

วัด Nanzoin

เมื่อถึงแล้วก็เดินประมาณ 200 เมตรก็ถึงตัววัดแล้ว ซึ่งวัด Nanzoin เป็นวัดที่มีพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยาว 41 เมตร สูง 11 เมตร ยิ่งใหญ่อลังการมากครับ เป็นที่นิยมของคนที่จะมาขอพรสักการะทำบุญเรื่องโชคลาภ เงินทองต่างๆ

ตัวพระพุทธรูปจะมีผ้า 5 สีพันลากยาวลงมาให้เราได้มาสัมผัสขอพรกันด้วย ก็ทำบุญไหว้พระได้เต็มที่ และในบริเวณวัดก็ยังมีของที่ระลึก เครื่องรางต่างๆ จำหน่ายให้นักท่องเที่ยวซื้อติดไม้ติดมือไปบูชากันได้ด้วยครับ

บริเวณเท้าของพระพุทธรูปก็จะมีรอยสลักไว้ให้พุทธศาสนิกชนสามารถมาสัมผัสเพื่อขอพรได้ด้วยเช่นกัน มีหลายๆ คนก็มาต่อคิวถ่ายรูปกันบริเวณนี้ครับ

เดินเล่นชมวิวสวยๆ รอบวัด Nanzoin

วัด Nanzoin มีพื้นที่กว้างขวางมาก เราสามารถเดินเที่ยวชมบริเวณรอบๆ เพื่อชมธรรมชาติต่างๆ รอบๆ ตัววัดได้ด้วย บรรยากาศดีและสงบร่มรื่นดีมากๆ ครับ

Tonkatsu Set

หลังจากไหว้พระทำบุญเสร็จแล้วผมแวะทานข้าวที่ร้านอาหาร Local แถววัด Nanzoin (ร้านอยู่หน้าวัดเลย) ชื่อร้านว่า “Kōjin Chaya” มีเมนูให้เลือกหลากหลาย ราคาไม่แพง ผมเลือกกินเซตข้าวหน้าทงคัตสึไป อร่อยดีครับ

แลกตั๋วรถไฟ JR Northern Kyushu Pass

หลังจากเที่ยววัด Nanzoin เสร็จแล้วผมนั่งรถไฟสายเดิมกลับไปยังสถานี Hakata เพื่อทำการแลกตั๋ว JR Kyushu Northern Pass ที่ผมซื้อออนไลน์มาจากเว็บไซต์ของ JR Kyushu ในราคา 11,000 เยน สำหรับ Pass 3 วันนั่งรถไฟ JR ไม่อั้นบริเวณคิวชูตอนเหนือ (JR Northern Kyushu Pass) รายละเอียดการใช้งานพาสสามารถอ่านได้เพิ่มเติมในเว็บไซต์ของ JR Kyushu https://www.jrkyushu.co.jp/english/railpass/railpass.html ได้เลยครับ

Credit: https://www.jrkyushu.co.jp/

สถานที่ๆ เราสามารถนำ Voucher มาแลกเป็น JR Pass ก็คือบริเวณ Ticket Office ของสถานีรถไฟใหญ่ๆ ในภูมิภาคคิวชู เช่นสถานี Hakata แบบที่ผมมานี้ก็ได้ครับ ให้เราเตรียม Passport, Voucher ตั๋ว และบัตรเครดิตที่เราใช้ในการจองยื่นให้เจ้าหน้าที่รถไฟ JR หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะทำการออกตั๋ว JR พร้อม Reserved Seat ในขบวนรถไฟที่เราแจ้งไว้ให้ครับ (ออกให้ได้แค่ 1 วันนะ ที่เหลือจะจองเพิ่มให้ไปจองที่นั่งกับตู้จองตั๋วอัตโนมัติ)

JR Northern Kyushu 3 Days Pass พร้อม Reserved Seat Ticket

แนะนำเสริมเพิ่มเติมสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา เราควรจะวางแผนการใช้งาน JR Pass มาล่วงหน้าว่าเราจะใช้เดินทางในเส้นทางใดบ้าง เพราะในรถไฟบางขบวนเราจำเป็นที่จะต้องจองที่นั่งก่อนใช้งานด้วย เช่นรถไฟสายท่องเที่ยวชื่อดังในย่านนี้อย่าง Yufuin No Mori ซึ่งเป็นขบวนที่มีแต่ที่นั่งแบบต้องจอง(Reserved Seat) เท่านั้น กล่าวคือไม่มีขบวน Non-Reserved Seat ดังนั้นเราควรแพลนการใช้งานมาล่วงหน้าและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ได้ทราบก่อนเพื่อที่จะได้จองที่นั่งให้เรียบร้อยก่อนเดินทางในวันเดินทางจริง เผื่อว่ามีขบวนไหนที่ที่นั่งเต็มเราจะได้เปลี่ยนเป็นแผนสำรองต่อไปครับ

JR Northern Kyushu Pass Available Area

หรือถ้าเราอยากจะจองที่นั่งล่วงหน้าตั้งแต่ตอนอยู่ไทยก็ทำได้เช่นกัน สามารถจองที่นั่งล่วงหน้าออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ของ JR Kyushu ได้เลย (มีค่าใช้จ่ายในการจองออนไลน์) แต่ถ้าใครมาจองกับเจ้าหน้าที่ที่สถานีรถไฟหรือจองกับตู้ซื้อตั๋วอัตโนมัติจะจองได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายครับ

แนะนำทริคสำหรับใครที่แพลนจะมาเที่ยวสถานที่ยอดฮิตในคิวชูอย่างเช่น ยุฟุอิน (Yufuin) แล้วอยากจะมานั่งรถไฟท่องเที่ยว “Yufuin No Mori” ชื่อดัง (เดี๋ยวจะรีวิวในบทความ EP ต่อไป) แนะนำให้จองที่นั่งออนไลน์มาตั้งแต่ที่ไทยเลยครับ เราสามารถใช้ Voucher ของ JR Kyushu Pass ในการจองได้เลย ไม่จำเป็นต้องรอแลกเป็นตั๋ว JR Kyushu Pass ตัวจริงที่ญี่ปุ่นก่อน การจองที่นั่งออนไลน์สามารถทำได้ล่วงหน้าก่อนวันเดินทางจริง 30 วัน ซึ่งผมคนนึงล่ะที่ชะล่าใจทำให้จองรถไฟขบวนนี้ไม่ทัน (จาก Hakata-Yufuin) เพราะมันจะเต็มเร็วมากๆ (น่าจะเปิดให้จองปุ๊บที่นั่งเต็มภายในไม่กี่นาที)

ส่วนหน้าตาของ JR Kyushu Pass จะไม่ใช่เป็นกระดาษแข็งใบใหญ่ๆ แบบสมัยก่อนอีกแล้วนะครับ แต่จะหน้าตาเหมือนตั๋วรถไฟ JR ทั่วไปเลย วิธีใช้งานก็ให้เสียบบัตร JR Kyushu Pass เข้าไปใน Automatic Ticket Gate ทางช่องทางเสียบตั๋วปกติก่อน หลังจากนั้นเมื่อประตูเปิดก็ให้หยิบตั๋ว JR Kyushu Pass กลับมา อย่าลืมหยิบนะครับ ห้ามทำหายสำคัญมาก

Oversize Baggage Area

และสำหรับใครที่จะใช้ JR Kyushu Pass ขึ้นรถไฟ Shinkansen ซึ่งจะสามารถใช้งานได้ 2 สายคือ Kyushu Shinkansen (Hakata — Kagoshima Chuo) และ Nishi Kyushu Shinkansen (Takeo Onsen-Nagasaki) และมีกระเป๋าเดินทางที่มีความยาวรวมกันทุกด้าน (กว้าง+ยาว+สูง) เกิน 160cm จะต้องจองตั๋วที่นั่งบริเวณที่เป็น Oversize Baggage Area ด้วยนะครับ ซึ่งจะเป็นบริเวณท้ายขบวนและที่นั่งมีจำนวนจำกัด ควรวางแผนการเดินทางให้ดีๆ ล่วงหน้าด้วยครับ ไม่งั้นจะโดนค่าปรับ 1,000 เยนนะ ส่วนใครที่กระเป๋าเดินทางไซส์เล็กกว่า 160cm สามารถนำขึ้นไปวางบนชั้นวางกระเป๋าเหนือที่นั่งได้เลย อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.jrkyushu.co.jp/english/guide/oversized_baggage.html

แลกตั๋วรถบัสแบบเหมาๆ ด้วย SunQ Pass

ในครึ่งหลังของทริปนี้ผมตั้งใจเลือกเดินทางโดยใช้รถบัสเป็นหลัก ซึ่งในภูมิภาคคิวชูจะมีตั๋ว SunQ Pass ซึ่งเป็นพาสสำหรับใช้ท่องเที่ยวด้วยรถบัสและเรือรอบภูมิภาคคิวชูซึ่งเหมาะกับแพลนเที่ยวของผมมากๆ ที่จะมีไปเที่ยวในจุดที่รถไฟ JR เข้าไปไม่ถึงอย่างเช่น Takachiho เป็นต้น (จะเขียนรีวิวให้ได้อ่านในบทความ EP ถัดๆ ไป) ซึ่งผมได้ทำการซื้อพาสผ่านทางแอพพลิเคชัน Klook (ซึ่งไม่ได้ Sponsor บทความนี้แต่อย่างใด 55) แบบ 3 วันแบบ All Kyushu ใช้ได้ทั่วภูมิภาคคิวชู ได้ส่วนลดมาด้วยเหลือราคาจ่ายจริงๆ 2,208 บาทจากราคาเต็ม 2,584 บาท เป็นอะไรที่คุ้มค่ามากครับ อย่าลืมติดตามโปรโมชันดีๆ ของ Klook ซึ่งมีออกมาเรื่อยๆ เลย

Ticket Counter บริเวณชั้น 3 ของ Hakata Bus Terminal

เมื่อเราได้ Voucher ตั๋ว SunQ Pass แล้วเราสามารถนำมาแลกเป็นตั๋วขึ้นรถบัสจริงได้ที่ตามสถานี Bus Terminal ใหญ่ๆ รอบภูมิภาคคิวชู เช่นในครั้งนี้ผมเลือกมาแลกตั๋วตั้งแต่วันแรกเลยที่ Hakata Bus Terminal ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟ JR Hakata Station เลยสะดวกมากๆ ขึ้นมาบริเวณชั้น 3 มาตรงบริเวณ Ticket Counter แล้วแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าจะมาแลกตั๋ว SunQ Pass พร้อมยื่น Passport คล้ายๆ กับ JR Kyushu Pass เลยครับ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะออกตั๋วมาให้ รูปแบบของตั๋ว SunQ Pass จะเป็นแบบเล่มคล้ายๆ JR Pass แต่ก่อน พร้อมกับประทับตราวันที่เราจะใช้งาน หน้าตาแบบนี้

SunQ Pass All Kyushu 3 Days

SunQ Pass เป็นพาสสามารถใช้ขึ้นรถบัสได้รอบภูมิภาคคิวชู เป็นการร่วมมือกันของบริษัทรถบัสเอกชนและเรือหลายๆ บริษัทในคิวชู เหมาจ่ายด้วยพาสบัตรเบ่งใบเดียว ใช้ได้ทั้งรถเมล์ท้องถิ่น (Local Bus) รถบัสทางด่วน (Expressway Bus) และเรือ Ferry ข้ามฟากต่างๆ รอบภูมิภาคคิวชูแบบไม่จำกัดรอบ! คุ้มค่าและเหมาะกับใครที่เดินทางเปลี่ยนเมืองบ่อยๆ และไม่อยากจะต้องลากกระเป๋าขึ้นลงรถไฟให้เมื่อย(ไม่ต้องกังวลกับขนาดกระเป๋าด้วย) เพราะการเที่ยวด้วยรถบัสดีตรงที่ว่ามีที่เก็บกระเป๋าเดินทางเยอะและก็มีรอบรถบัสให้เราเลือกค่อนข้างเยอะ และเค้ายังมีเส้นทางให้บริการไปในจุดท่องเที่ยวบางที่ๆ รถไฟไปไม่ถึงด้วยครับ

ตั๋ว Reserved Seat ของการเดินทางด้วย Bus ไปกลับ Kumamoto-Takachiho

หลังจากได้ SunQ Pass มาแล้ว เราสามารถแจ้งแพลนการเดินทางด้วยบัสของเรากับเจ้าหน้าที่ได้เลย ซึ่งก็มีทั้งเส้นทางที่ไม่ต้องจองที่นั่ง และบังคับจองที่นั่ง เช่นเส้นทาง Kumamoto-Takachiho ต้องจองที่นั่ง(เพราะมีคนใช้บริการเยอะ) เป็นต้น ผมได้แจ้งแพลนการเดินทางด้วยบัสของผมทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่และให้เค้าช่วยจองที่นั่งของบัสไปกลับระหว่าง Kumamuto — Takachiho ให้เรียบร้อย แต่บางเส้นทางก็ไม่สามารถจองที่ Hakata Bus Terminal ได้นะครับ ต้องใช้วิธีโทรจอง ซึ่งยังไม่ค่อยสะดวกกับชาวต่างชาติที่ไม่มีเบอร์โทรในญี่ปุ่นแบบเรา ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็แนะนำให้เราจองที่นั่งออนไลน์ด้วยตัวเอง (แบบไม่ต้องจ่ายเงินค่าจอง) ได้ที่เว็บของ https://www.japanbusonline.com ไว้จะมาเล่าในรายละเอียดในบทความต่อๆ ไปครับ

เที่ยวกันต่อที่ศาลเจ้าดาไซฟุ (Dazaifu Tenmangu Shrine)

หลังจากที่จัดการเรื่องตั๋วการเดินทางต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกเดินทางจาก Hakata Bus Terminal ด้วยรถบัสเพื่อออกไปเที่ยวศาลเจ้า Dazaifu กันต่อครับ ผมเคยมาเที่ยวที่นี่ครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ 6 ปีก่อน ตอนนั้นนั่งรถไฟไป รอบนี้เลยลองเปลี่ยนมานั่งรถบัสไปบ้างไหนๆ ก็อยู่ที่ Hakata Bus Terminal แล้ว โดยเราสามารถลงมารอขึ้นรถบัสไป Dazaifu ได้ที่ชั้น 1 ของ Hakata Bus Terminal Platform หมายเลข 11 มีรถบัสออกแทบจะทุกๆ 20–30 นาทีครับ ค่าโดยสาร 700 เยนสามารถใช้ IC Card จ่ายได้ ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อตั๋วครับ สะดวกมาก

ที่นั่งบน Express Bus ไป Dazaifu

ที่นั่งบนบัสค่อนข้างกว้าง นั่งสบาย มีที่วางขวดน้ำ พร้อมพอร์ต USB ให้ชาร์ตแบตมือถือได้ด้วย สะดวกมากๆ ครับ รถบัสจะขึ้นทางด่วนข้ามตัวเมืองฟุกุโอกะไปลงที่ดาไซฟุเลย ใช้เวลาเดินทาง 40 นาทีเท่านั้น เร็วมาก

Dazaifu Liner Bus ของ Nishitetsu Bus

รถบัสจะจอดตรงสถานีรถไฟ Dazaifu Station แล้วเราก็สามารถเดินเข้า Dazaifu Tenmangu ได้เลย ดีงามมาก

ช่วงบ่ายที่ผมไป นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะเลย โดยเฉพาะคนเกาหลี และคนไทยเยอะมากๆ

สะพานชินจิอิเคะ

ศาลเจ้า Dazaifu Tenmangu เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในการขอพรเกี่ยวกับเรื่องการศึกษา เพราะมีความเชื่อว่ามีเทพเจ้า Sugawara Michizane ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา เป็นนักวิชาการและนักเขียนที่คนญี่ปุ่นให้ความเคารพนับถือ ทำให้ที่นี่มักจะมีนักเรียนนักศึกษามาขอพรให้สอบได้ผลคะแนนที่ดีหรือขอพรเรื่องเกียวกับการเรียนกันมาก นอกจากนี้ที่นี่ก็ยังมีรูปปั้นวัวที่มีความเชื่อเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า Sugawara Michizane อยู่ที่นี่ ซึ่งคนก็มักจะมาลูบเพื่อขอพรให้ฉลาดกันด้วย

บริเวณด้านในศาลเจ้าเหมือนจะมีการปรับปรุงโซนของอาคารด้านใน(ฮนเด็น) ทำให้เราเห็นภาพศาลเจ้า Dazaifu ในช่วงนี้ที่แปลกตาไปพอสมควร แต่ก็สวยไปอีกแบบ และเราก็ยังสามารถมาไหว้พระขอพรทำบุญกันได้เช่นเดิมนะครับ

เดินเข้ามาด้านในจะมี trail ให้เราสามารถเดินขึ้นเขาไปเที่ยวชมด้านในบริเวณของศาลเจ้าได้ มีเสาโทริอิสวยๆ ให้เราได้เดินผ่านด้วยครับ ผมก็ไม่พลาดที่จะเดินชมวิวรอบๆ ผ่านเทรลนี้อีกครั้ง หลังจากที่เคยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 6 ปีก่อน

ศาลเจ้าด้านในอีกชื่อที่อยู่บนเขา (จำชื่อไม่ได้)
บรรยากาศบริเวณทางเข้าศาลเจ้า

หลังจากเดินเที่ยวในศาลเจ้าแล้วเราก็เดินออกมาที่ถนนซันโด Shopping Street ชื่อดังของ Dazaifu ผมไม่ลืมที่จะแวะชิมขนมโมจิไส้ถั่วแดงชื่อดังที่มีคนต่อคิวซื้อไม่ขาดสาย อร่อยเหมือนเดิมครับ

ปิดท้ายวันไปดู Gundam ไซส์ยักษ์ที่ Lalaport Fukuoka

ที่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้คือผมจะไปดูกันดั้มขนาดเสมือนจริงที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าห้าง Lalaport ในเมือง Fukuoka การเดินทางผมเลือกนั่งรถไฟ Local สาย Nishitetsu-Futsukaichi ลงที่สถานี Igiri Station เพื่อต่อรถเมล์ไปลงที่ป้าย Gojikkawa 1 chome และเดินต่อไปยังห้าง Lalaport ใช้เวลาเดินทางราวๆ 50 นาที ค่าโดยสาร 530 เยน

Dazaifu — Lalaport Fukuoka
RX-93ff v Gundam ใหญ่มากก

เมื่อมาถึงก็ต้องร้องว้าว เพราะที่นี่คือ Life-Size v Gundam Statue RX-93ff v Gundam ที่มีความสูงกว่า 24 เมตร เป็น Gundam ที่เปิดตัวครั้งแรกในซีรีส์ Mobile Suit Gundam: Char’s Counterattack เมื่อปี 1988 ซึ่งยังเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมในคนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติจนถึงปัจจุบัน ตัวจริงเท่ห์มากครับ

นอกจากนี้ที่นี่ยังมีร้าน Gundam Base ช็อปจำหน่ายสินค้าของ Gundam ครบทุกรูปแบบ สาวกกันดั้มมาเที่ยวคิวชูแล้วอย่าพลาดแวะมาช็อปที่นี่ได้ครับ

หลังจากเต็มอิ่มกับกันดั้มที่ Lalaport แล้วผมก็นั่งรถเมล์กลับเข้าเมือง Fukuoka และลงที่สถานี Hakata เช่นเดิม มื้อเย็นวันนี้ผมก็ตั้งใจไปกินราเม็งชื่อดังอย่าง Ichiran Ramen หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่า “ราเม็งข้อสอบ” เพราะสถานที่นั่งกินของร้านจะกั้นเป็นคอกๆ เหมือนเรากำลังทำข้อสอบอยู่นั่นเอง

Ichiran Ramen สาขา Hakata Station
Ichiran Ramen ราคา 980 เยน

Ichiran Ramen เป็นราเม็งที่ใช้น้ำซุปทงคัตสึมีต้นกำเนิดที่เมือง Fukuoka แห่งนี้เลย ผมเลือกไปกินที่สาขาสถานี Hakata ต้องรอคิวอยู่พักนึงกว่าจะได้กิน (เป็นปกติของราเม็งเจ้านี้ คนเยอะทุกสาขา) รสชาติก็ยังอร่อยเหมือนทุกครั้งเลยครับ มาญี่ปุ่นทีไรก็ต้องมากินร้านนี้ทุกที ใครมาเที่ยวฟุกุโอกะแล้วก็อย่าลืมมาทาน Ichiran Ramen กันนะครับ

สรุป

วันแรกของทริปก็เรียกได้ว่าไปเที่ยวได้หลายที่ทั่วเมือง Fukuoka เลย รวมถึงได้เตรียมพร้อมกับการแลกตั๋วรถไฟและรถบัสซึ่งจะเริ่มใช้ในวันต่อๆ ไปแล้ว ในบทความตอนหน้าจะพาทุกคนไปเที่ยวเมืองตากอากาศสุดน่าหลงไหลกันที่เมืองยุฟุอินและเบปปุที่มีธรรมชาติที่สวยงามและมีบ่อออนเซ็นให้เราได้แช่ผ่อนคลายร่างกายกันด้วย ฝากติดตามกันด้วยนะครับ Happy Travel!

--

--