รีวิวเที่ยวคามิโกจิ (Kamikochi) 1 วันด้วย Alps Wide Free Passport สุดคุ้ม

Traitanit Huangsri
5 min readAug 17, 2024

--

สวัสดีครับ ในบทความนี้จะมารีวิวการไปเที่ยวพื้นที่ธรรมชาติยอดฮิตอย่าง Kamikochi กัน โดยการเดินทางในวันนี้จะเป็นการใช้พาส “Alps Wide Free Passport” เป็นวันที่ 2 แล้ว หลังจากที่ในตอนที่แล้วเราได้เดินทางไปเที่ยวหมู่บ้านมรดกโลกอย่าง Shirakawa-go กันมาแล้ว และสำหรับใครที่เพิ่งเข้ามาอ่านบทความนี้เป็นครั้งแรก สามารถย้อนกลับไปอ่านบทความก่อนหน้านี้กันได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้เลยครับ

การเดินทางไป Kamikochi

Credit: kamikochi.org

ในการเดินทางไปเที่ยว Kamikochi สามารถเลือกวิธีการเดินทางได้หลากหลายวิธี แต่การเข้าไปยังอุทยานนั้นเราจะไม่สามารถขับรถตรงเข้าไปได้ เนื่องจากทางอุทยานต้องการรักษาสภาพแวดล้อมของธรรมชาติไว้ให้ได้มากที่สุด ปราศจากมลพิษของรถยนต์ ซึ่งถ้าใครที่ขับรถมาสามารถนำรถมาจอดรถบริเวณ Sawando Parking Lot แล้วซื้อตั๋วนั่งรถบัสของบ. Alpico เข้าไปได้ครับ

1. มาจาก Matsumoto

สำหรับใครที่มาจากฝั่งเมือง Matsumoto แบบเดียวกับผมก็สามารถนั่งรถบัสตรงจาก Matsumoto Bus Terminal ตรงมาที่ Kamikochi ได้เลย (National Park Liner) แต่รอบรถบัสที่วิ่งตรงนั้นมีจำกัดจำนวนเพียง 2 รอบต่อวัน ซึ่งถ้าไม่สะดวกเวลานั้น เราสามารถนั่งรถไฟ Matsumoto Dentetsu Line (Kamikochi Line) ซึ่งเป็นรถไฟเอกชน(ใช้ JR Pass ไม่ได้) ของบ. Alpico มาลงที่สถานี Shin-Shimashima Station แล้วต่อรถบัสของบ. Alpico เพื่อตรงเข้าไปยัง Kamikochi ได้เช่นกัน ใช้เวลาเดินทางราวๆ 1.50 ชม. (ตีไปประมาณ 2 ชม.) และถ้าใครที่ถือพาส Alps Wide Free Passport ก็สามารถใช้เดินทางได้ครอบคลุมทั้งหมดเลย แต่ถ้าใครจะซื้อตั๋วไปกลับก็ราคาประมาณ 3,260 เยนต่อขา ไปกลับก็ 6,520 เยน (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง สามารถอัพเดตราคาค่าโดยสารปัจจุบันได้ที่ https://www.alpico.co.jp/th/timetable/kamikochi/r-matsumoto-kamikochi/)

2. มาจาก Takayama

อีกเมืองที่อยู่ใกล้ Kamikochi ก็คือเราสามารถมาจากเมือง Takayama ได้ด้วยรถบัสของบ. Nohi Bus จาก Takayama Bus Center นั่งมาเปลี่ยนบัส 1 ครั้งที่ป้าย Hirayu Onsen แล้วต่อไปที่ Kamikochi ใช้เวลาเดินทางใกล้เคียงกับขาที่มาจาก Matsumoto เลยคือราวๆ 1.45 ชม. ค่าโดยสาร 3,100 เยนต่อขา ไปกลับก็ 6,200 เยน (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน สามารถเช็คได้ที่เว็บไซต์ของ Nohi Bus ได้ครับ https://www.nouhibus.co.jp/route_bus/kamikochi-line-en/ และถ้าใครที่ถือพาส Alps Wide Free Passport ก็ครอบคลุมเส้นทางนี้เช่นกัน

3. มาจาก Tokyo

ถ้าใครที่จะมา Kamikochi จากโตเกียว สามารถนั่งบัสของ Alpico มาได้ มีให้เลือกทั้ง Daytime และ Night time Bus ใช้เวลาเดินทางราวๆ 6–7 ชม. สามารถเลือกออกจากได้หลายสถานีรถไฟทั้ง Shinjuku, Tokyo, Shibuya เป็นต้น ราคารถบัสก็มีหลายราคาตั้งแต่ 10,000–16,000 เยน ขึ้นกับเวลาที่เดินทางครับ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.alpico.co.jp/th/timetable/kamikochi/r-shinjuku-kamikochi/ (ส่วนตัวไม่ค่อยแนะนำวิธีนี้ เพราะจะเดินทางเหนื่อยมากๆ และยังจะมาเดินในอุทยานเยอะๆ อีก แต่ถ้าใครสะดวกก็สามารถลองดูได้ครับ)

4. มาจาก Osaka, Kyoto

จาก Osaka, Kyoto ก็สามารถเดินทางมา Kamikochi ด้วยรถบัสได้เช่นกัน มีให้เลือกทั้ง Daytime และ Night time Bus เหมือนกับโตเกียวเลย ใช้เวลาเดินทางราว 6–7 ชม.เช่นกัน เลือกขึ้นได้ทั้งจาก Osaka Umeda และ Kyoto Station ราคารถบัสก็ขึ้นกับว่าเลือกใช้บริการ Day หรือ Night Bus ตั้งแต่ 10,000–19,000 เยน ก็เรียกได้ว่า Kamikochi อยู่ตรงกลางระหว่างโตเกียวกับโอซาก้าเลยก็ว่าได้ สามารถเช็คตารางรอบรถบัสได้ที่ https://www.alpico.co.jp/th/timetable/kamikochi/r-osakakyoto-kamikochi/

5. มาจาก Nagano

การเดินทางด้วยบัสมาจาก Nagano ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เพราะใช้เวลาไม่นานมาก ราวๆ 3 ชม. แต่มีบัสแค่วันละ 1 เที่ยวเท่านั้น ราคาค่าโดยสารตั้งแต่ 4,000–5,200 เยนขึ้นกับว่าขึ้นมาจากป้ายไหน สามารถเช็คตารางรถบัสได้ที่ https://www.alpico.co.jp/th/timetable/kamikochi/r-nagano-kamikochi/

รู้จัก Kamikochi กันก่อน

บรรยากาศที่ Kamikochi

“คามิโกจิ” (Kamikochi) เป็นพื้นที่ธรรมชาติที่สวยงาม ตั้งอยู่ในจังหวัดนางาโนะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติจุบุ-ซังงากุ (Chubu-Sangaku National Park) คามิโกจิเป็นหุบเขาที่มีความสูงประมาณ 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และรายล้อมด้วยภูเขาสูง ซึ่งบางแห่งมีความสูงมากกว่า 3,000 เมตร

ที่นี่มีชื่อเสียงในด้านธรรมชาติที่งดงาม โดยเฉพาะบริเวณแม่น้ำอะซุสะ (Azusa River) ที่มีน้ำเป็นสีคริสตัลอันใสสะอาดมาก และสะพานกัปปะ (Kappa Bridge) ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมสูงสุด ในแต่ละปีมีท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมและสัมผัสกับธรรมชาติอันสวยงามของที่นี่ มีกิจกรรมต่างๆ ให้เลือกทำมากมาย เช่น เดินป่า ปีนเขา และถ่ายภาพ Landscape เป็นต้น

คามิโกจิจะเปิดให้เข้าเที่ยวชมได้ตั้งแต่กลางเดือนเมษายน (ประมาณวันที่ 17) จนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน (ประมาณวันที่ 15) ของทุกปี และจะปิดในช่วงฤดูหนาวเพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูและในช่วงนี้มีสภาพอากาศที่หนาวเย็นและมีหิมะปกคลุมหนาซึ่งทำให้การเดินทางเข้าถึงพื้นที่เป็นไปยากและไม่ปลอดภัย

รีวิวการเดินทางท่องเที่ยวใน Kamikochi

Alpico Kotsu Bus ไป Kamikochi ที่สถานี Shin-shimashima

วันนี้ผมออกเดินทางจาก Matsumoto ด้วยรถไฟ Matsumoto Dentetsu Line ราว 30 นาทีลงที่ปลายทางสถานี Shin-Shimashima หลังจากที่ลงจากรถไฟแล้ว เราจะเห็นรถบัสที่วิ่งต่อไปยัง Kamikochi มาจอดรออยู่แล้ว ข้อดีอย่างหนึ่งที่อยากชื่นชมบ. Alpico ก็คือเค้ามีการสำรองจำนวนรถบัสไว้เผื่อในกรณีที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก จะได้ขึ้นรถบัสกันทุกคนไม่ต้องเสียเวลารอบัสรอบถัดไป ซึ่งอาจจะทำให้เสียเวลาในการเที่ยวไปโดยไม่มีประโยชน์ อย่างในวันที่ผมเดินทางก็มีรถบัสมาจอดรอรับนักท่องเที่ยว 2 คันเลย

Taisho Pond

เราเดินทางด้วยบัสต่อเข้าไปที่ Kamikochi อีกราวๆ 1 ชม. ผมเลือกลงที่ป้าย Taisho Pond เพื่อเริ่มเดินท่องเที่ยวจากจุดนี้เป็นต้นไป แต่ถ้าใครไม่อยากเดินก็สามารถนั่งต่อไปลงปลายทางที่ Kamikochi Bus Terminal ได้เช่นกัน

Taisho Pond หรือ Taisho-ike เป็นทะเลสาบที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติจากการระเบิดของภูเขาไฟยาเกะ (Mount Yake) ด้านหลังในภาพ ในปี 1915 ซึ่งการระเบิดทำให้แม่น้ำอะซุสะ (Azusa River) ถูกกีดขวางและกลายเป็นทะเลสาบอันสวยงามอย่างที่เห็น

อีกด้านของ Taisho Pond เราจะมองเห็นวิวภูเขาโฮตะกะ (Mount Hotaka) และภูเขายากะดาเกะ (Yakadake) ตั้งรายล้อมทะเลสาบอยู่อย่างสวยงาม

Tashiro Marshland

ผมเดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 40 นาทีก็มาถึงTashiro Marshland ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ในคามิโกจิ พื้นที่มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าและพืชพันธุ์น้ำต่างๆ กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ และยังมีวิวของภูเขาและต้นไม้ล้อมรอบ อย่างในช่วงฤดูร้อนที่ผมมาครั้งนี้ พื้นที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าและพืชพรรณที่เขียวชอุ่ม ทำให้เรารู้สึกสดชื่นกับธรรมชาติมากๆ

Tashiro Bridge

เดินต่อมาเรื่อยๆ ก็มาถึงสะพานทาชิโระ (Tashiro Bridge) บริเวณนี้เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยงามของคามิโกจิ เราสามารถมองเห็นปลาที่ว่ายน้ำอยู่ในน้ำใสๆ เลยด้วย

เดินต่อมาอีก บริเวณตรงข้ามกับ Kamikochi Onsen ตรงนี้ก็เป็นจุดชมวิวอีกจุดที่สวยงามเช่นกัน ได้มองเห็นภูเขาด้านหลังตัดกับแม่น้ำอะซุสะสวยงามมาก

ผมเดินเลาะแม่น้ำอะซุสะไปเรื่อยๆ ก็จะมองเห็น Kamikochi Bus Terminal อยู่ฝั่งตรงข้ามแต่ถูกบังด้วยต้นไม้สูง ก็สวยงามไปอีกแบบครับ

และแล้วผมก็เดินมาถึงสะพานกัปปะ (Kappa-bashi Bridge) ซึ่งเป็นจุดชมวิวยอดนิยมที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียนจำนวนมาก บริเวณนี้คนเยอะมากๆ ครับ เพราะเป็นจุดที่อยู่ใกล้กับ Bus Terminal เดินจาก Bus Terminal มาแค่ประมาณ 5 นาทีเท่านั้น

บริเวณสะพานกัปปะนี้ก็จะมีร้านค้าขายของที่ระลึก ขายอาหาร เครื่องดื่มต่างๆ มากมาย แต่ราคาก็แน่นอนว่าจะแพงกว่าซื้อข้างนอกแน่นอน ที่สำคัญคือไม่มีถังขยะ (หรืออาจจะมีแต่ผมหาไม่เจอก็ได้นะ) แนะนำให้เก็บไปทิ้งข้างนอกดีกว่าครับ เพื่อเป็นการไม่รบกวนธรรมชาติกันนะ

วิวจากบนสะพาน Kappa-bashi

แน่นอนว่าเราก็เดินขึ้นไปถ่ายรูปวิวจากบนสะพานกัน ต้องบอกเลยว่าตรงจุดนี้ถือเป็นจุดชมวิวไฮไลท์ของที่นี่เลย อย่าลืมขึ้นไปถ่ายรูปกันนะครับ การเดินจากบริเวณ Taisho Pond มาถึงสะพานกัปปะนี้ทางดีมาก เดินได้สบาย ไม่ค่อยมีเนินครับ ใช้เวลาเดินราวๆ 1 ชม.ก็ถึงแล้วครับ

เดินถัดจากสะพานกัปปะก็จะเจอกับ Kamikochi Visitor Center ที่นี่มีข้อมูลเกี่ยวกับคามิโกจิให้เราสามารถเข้าไปสอบถามได้ เช่นอย่างช่วงที่ผมไปนั้นก็มีบางเส้นทางเดินป่าที่ปิดเนื่องจากก่อนหน้านี้มีพายุเข้าฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมบางจุด

Konashidaira Campsite

นอกจากนี้เลยจาก Visitor Center มานิดนึงก็จะเจอกับ Konashidaira หรือเป็น Campsite ที่อยู่ด้านหลังสะพานกัปปะ สำหรับคนที่อยากจะมากางเต้นท์นอนที่คามิโกจิก็สามารถมากางเต้นท์บริเวณนี้ได้ แต่จะมีค่าใช้จ่ายอยู่นะครับ ซึ่งสามารถสอบถามได้ที่ Visitor Center ได้เลย

แพลนของผมคือจะเดินต่อไปยังสะพาน Myojin แต่เส้นทางที่มาจาก Kamikochi Visitor Center นั้นไม่สามารถไปต่อได้เนื่องจากมีน้ำท่วมในเส้นทางข้างหน้าทำให้เราต้องเดินย้อนกลับไปอีกฝั่งของสะพานกัปปะซึ่งจะใช้เวลาในการเดินมากกว่าประมาณ 25 นาที

บริเวณทางเดินไป Myojin Bridge เราก็จะเจอกระดิ่งให้สั่นเพื่อป้องกันไม่ให้มีหมีเข้ามาในเส้นทางเดินเทรลของเรา เพราะในคามิโกจิแห่งนี้ยังมีสัตว์ป่าธรรมชาติอยู่มาก ที่พบเห็นกันเยอะก็คือหมีดำเอเชียหรือบางคนก็เรียกว่าหมีดำญี่ปุ่น (Japanese Black Bear) ซึ่งมีขนสีดำ มักอาศัยอยู่ตามป่าภูเขาและบริเวณป่าชื้นที่มีต้นไม้ใหญ่เป็นแหล่งของอาหารและเป็นที่พักอาศัย ในคามิโกจิเราอาจพบเห็นร่องรอยเท้าของหมีดำญี่ปุ่น ก็แนะนำให้เราปฏิบัติตามป้ายเตือนคำแนะนำต่างๆ รวมถึงควรระมัดระวังเก็บอาหารให้มิดชิดเพื่อไม่ให้ดึงดูดหมีเข้ามาใกล้ตัวครับ

Dakesawa Marsh

เดินต่อมาเรื่อยๆ ก็มาถึง Dakesawa Marsh ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำอีกจุดหนึ่งในคามิโกจิ ที่เต็มไปด้วยน้ำใสสะอาดและต้นไม้สูงที่ขึ้นอยู่ตามริมทางน้ำต่างๆ สวยงาม

สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ มีเศษไม้กองอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้ คาดว่าเป็นสาเหตุมาจากที่ก่อนหน้านี้ที่คามิโกจิมีฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วม ทำให้อาจมีเศษไม้ของต้นไม้หลุดร่วงมาจากช่วงที่เกิดพายุไหลมารวมกันให้เราเห็นแบบนี้

เจอหมีดำญี่ปุ่นที่คามิโกจิ

เดินต่อในเส้นทางเดินป่ามาได้อีกซักพัก ก็เจอคนญี่ปุ่นรุมดูอะไรกันซักอย่าง และสิ่งนั้นก็คือหมีดำญี่ปุ่นนั่นเอง กำลังเดินไต่ๆ ขึ้นเขาไป เมื่อเจอหมีดำอยู่ไกลๆ เราก็ควรมองดูอยู่ห่างๆ และควรสั่นกระดิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้หมีเดินเข้ามาใกล้ตัวเราครับ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เวลามาเดินป่ามักจะมีการห้อยกระดิ่งติดตัวเสมอเพื่อส่งเสียงไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาใกล้ตัว ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ได้เรียนรู้จากการมาเที่ยวคามิโกจิครั้งนี้เลย

Myojin Bridge
Myojin Pond

และในที่สุดเราก็เดินมาถึงที่สะพาน Myojin Bridge แล้ว สะพานสวยไม่แพ้สะพานกัปปะเลย สะพานมโยจินเป็นสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำอะซุสะ เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินป่าที่นำไปยังศาลเจ้ามโยจิน (Myojin Shrine) และบึงมโยจิน (Myojin Pond) เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่สำคัญในคามิโกจิ

บริเวณสะพานมโยจินมีวิวที่สวยงาม โดยสามารถมองเห็นทิวเขาโฮตากะ (Hotaka Mountain Range) ที่สูงตระหง่านอยู่เบื้องหลังแม่น้ำอะซุสะที่ใสสะอาด เป็นหนึ่งในจุดพักที่ดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการชมวิวและถ่ายภาพ

หลังจากเดินเที่ยวชมสะพาน Myojin อย่างเต็มอิ่มแล้ว ผมก็เดินกลับไปยังสะพานกัปปะด้วยเส้นทางเดิมเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ Matsumoto ครับ

ผมแวะซื้อไอศครีมซอฟท์เสิร์ฟของ Kamikochi ด้วย เป็นไอติมรสนมอร่อยดี ช่วยให้หายเหนื่อยจากการเดินป่าอันยาวนานได้เป็นอย่างดี

สรุป

เป็น One Day Trip ของการมาเที่ยว Kamikochi ที่สุดคุ้มค่ามากครับ คามิโกจิก็ถือเป็นหนึ่งใน Destination ที่ใครถ้ามีโอกาสมาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นก็อยากแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่ซักครั้งหนึ่งครับ เพราะมีธรรมชาติที่สวยงามมาก บรรยากาศดี อากาศก็ดี ถึงแม้จะเป็นในช่วงฤดูร้อนแต่อุณหภูมิก็อยู่ที่ราวๆ 22–25 องศาเท่านั้น และการเดินทางมาที่นี่ก็สะดวกสบายสามารถเลือกมาได้จากหลากหลายเส้นทาง แต่ส่วนตัวอยากแนะนำว่าถ้าอยากเดินเที่ยวให้ครบๆ แบบไม่เหนื่อยมาแต่เช้ามากก็อยากแนะนำให้มานอนที่ Matsumoto หรือ Takayama แล้วค่อยเดินทางมาเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับก็น่าจะเป็นหนึ่งในวิธีที่ไม่เหนื่อยจนเกินไป ในตอนต่อไปเราจะไปเดินปีนเขากันที่ Norikura ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่ยังไม่มีคนไทยไปเที่ยวกันเยอะนัก ฝากติดตามกันด้วยนะครับ Happy Travel!

--

--