รีวิวเที่ยว Shirakawa-Go ด้วย Alps Wide Free Passport สุดคุ้ม

Traitanit Huangsri
4 min readAug 12, 2024

--

สวัสดีครับ บทความนี้จะมารีวิวการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นของผมอีกครั้ง โดยในทริปนี้จะเป็นการไปตะลุยเที่ยวรอบภูมิภาค Chubu เพื่อไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ รอบเทือกเขา Japanese Alps ตอนเหนือสุดอลังการ โดยการเดินทางในทริปนี้ผมเลือกใช้พาสรถบัสสุดคุ้มอย่าง Alps Wide Free Passport ซึ่งสามารถใช้เดินทางรอบภูมิภาค Chubu ได้อย่างไม่จำกัด สามารถใช้ได้ 4 วันติดต่อกัน

ใน EP แรกนี้ผมจะเริ่มการเที่ยวในภูมิภาค Chubu นี้โดยเริ่มต้นที่เมือง Takayama ออกเดินทางไปยังเมือง Shirakawa เพื่อไปเที่ยวหมู่บ้าน Shirakawa-go หลังจากนั้นเราจะเดินทางต่อไปยังเมือง Matsumoto เพื่อเตรียมไปเที่ยว Kamikochi ในวันถัดไปกัน

รู้จักพาสรถบัส 4-Day Alps WIDE Free Passport กันก่อน

4-Day Alps WIDE Free Passport คือพาสสำหรับใช้ขึ้นรถบัสและรถไฟสาย Kamikochi ที่ให้บริการโดยบ. Alpico เดินทางในโซน Japanese Alps ตอนเหนือไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของทั้งจังหวัด Nagano และ Gifu ครอบคลุมเมือง Matsumoto, Kamikochi, Shirano Onsen, Takayama, Shirakawa-go, Norikura, Gero Onsen และอื่นๆ โดยสามารถนั่งรถบัสได้อย่างไม่จำกัดจำนวนรอบสามารถใช้งานได้ติดกัน 4 วัน

พื้นที่ให้บริการของ 4-Day Alps WIDE Passport

เราสามารถซื้อพาสนี้ได้ที่ท่ารถบัสในหลากหลายเมือง เช่น Matsumoto Bus Terminal, Shin-shimashima Bus Terminal, Takayama Bus Terminal และ Kamikochi Bus Terminal เป็นต้น ราคาในแต่ละฤดูกาลก็จะแตกต่างกันไป สามารถตรวจสอบราคาของพาสได้ที่ https://www.alpico.co.jp/th/alps-wide-free-passport/ ได้เลย โดยเราจะต้องซื้อพาสในวันที่เราจะเริ่มใช้เป็นวันแรก ไม่สามารถซื้อล่วงหน้าได้นะครับ

Day 1: Takayama — Shirakawa-go

วันแรกของทริป ผมเริ่มต้นที่เมือง Takayama มาซื้อตั๋วพาสรถบัสที่ Takayama Bus Terminal ตั้งแต่เช้า ได้ตั๋วพาสรถบัสมาหน้าตาแบบนี้ พาสราคา 14,000 เยน (ราคาอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาลนะครับ) วิธีใช้ก็แค่โชว์พาสนี้กับคนขับเวลาขึ้นและลงรถบัสได้เลย ห้ามทำหาย หรือทำพาสเสียหายนะครับ ต้องเก็บรักษาอย่างดีเลย

4-Day Alps WIDE Free Passport

ซึ่งในการเดินทางด้วยพาสรถบัสลักษณะนี้ เราควรมีการวางแผนเส้นทางการเดินทางล่วงหน้ามาก่อน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการซื้อพาสมาใช้เดินทางนั้นคุ้มค่ากว่าการซื้อตั๋วเป็นรายเที่ยว และตัวพาสนี้จะสามารถขึ้นรถบัสที่เป็นแบบที่ไม่ต้องจองที่นั่ง (Non-Reserved Seat) เท่านั้น แต่ก็มีบางรอบบางเส้นทางที่เราสามารถใช้พาสจองที่นั่งล่วงหน้าได้ด้วย (จองที่นั่งได้ฟรี) แนะนำให้ตรวจสอบรอบรถบัสล่วงหน้าที่ Bus Terminal หลักของแต่ละเมืองได้เลยครับ โดยให้เราทำการแจ้งแพลนการเดินทางของเรากับทางเจ้าหน้าที่และสอบถามว่าแต่ละเที่ยวจะต้องมีการจองที่นั่งล่วงหน้าหรือไม่? เช่นในวันแรกนี้ผมได้ใช้พาสจองที่นั่งรถบัสจาก Takayama ไปยัง Matsumoto ที่จะใช้เดินทางในช่วงบ่ายไว้ล่วงหน้าได้เลย เป็นต้น

จองที่นั่งล่วงหน้าสำหรับบัสจาก Takayama-Matsumoto

ทริปแรกของวันนี้เริ่มต้นด้วยการเดินทางจาก Takayama ไปยังหมู่บ้าน Shirakawa-go ซึ่งให้บริการโดย Nohi Bus ใช้เวลาเดินทางราวๆ 50 นาที-1 ชม. ครับ เป็นบัสที่ไม่ต้องจองที่นั่งล่วงหน้า มารอเข้าคิวแบบใครมาก่อนได้ขึ้นก่อน (First Come First Serve) แนะนำให้มารอบัสก่อนเวลาล่วงหน้า 15–20 นาทีนะครับ เพราะมีนักท่องเที่ยวต้องการเดินทางมาที่นี่เยอะมาก ถ้ามาช้ามีโอกาสที่บัสจะที่นั่งเต็มก่อนครับ

Nohi Bus จาก Takayama ไป Shirakawa-go
หมู่บ้าน Shirakawa-go

หมู่บ้าน Shirakawa-go (ชิราคาวาโกะ) เป็นหมู่บ้านประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ในหุบเขาของจังหวัดกิฟุ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1995 หมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่รู้จักในระดับสากลจากบ้านเรือนสไตล์ดั้งเดิมที่เรียกว่า “กัสโช-ซึคุริ” (Gassho-zukuri) ซึ่งมีลักษณะหลังคาทรงชันที่คล้ายกับมือสองข้างพนมเข้าหากัน ซึ่งคำว่า “กัสโช” นั้นแปลว่าพนมมือในภาษาญี่ปุ่นครับ การเที่ยวชมหมู่บ้านนี้สามารถเข้าชมได้ฟรี ที่นี่มีทัศนียภาพที่สวยงามแตกต่างกันในไปแต่ละฤดูกาล แต่รับรองว่าสวยทุกฤดูจริงๆ ครับ

รูปบ้านเรือนในสไตล์ Gassho-zukuri ที่เป็นสัญลักษณ์ของ Shirakawa-go

จุดเด่นของ Shirakawa-go

  • ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมกัสโช-ซึคุริ: บ้านในสไตล์นี้มีหลังคาทำมุมชันถึง 60 องศาเพื่อป้องกันหิมะตกสะสมในฤดูหนาว ซึ่งมีความสวยงามและคงทนต่อสภาพอากาศที่เลวร้ายของภูมิภาคนี้ที่มีหิมะตกค่อนข้างเยอะมากในฤดูหนาว
  • มีทัศนียภาพที่งดงาม: หมู่บ้านนี้ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและธรรมชาติที่สวยงาม เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่หิมะปกคลุมทำให้หมู่บ้านดูเหมือนเมืองในเทพนิยายเลยครับ
  • ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม: บ้านในหมู่บ้าน Shirakawa-go สร้างขึ้นด้วยวิธีการดั้งเดิมที่สืบทอดมาหลายศตวรรษ และหมู่บ้านยังคงรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไว้เป็นอย่างดีครับ
จุดชมวิวชิโรยามะ (Shiroyama Viewpoint)

ใครที่มาเที่ยวหมู่บ้าน Shirakawa-go แห่งนี้ต้องอย่าลืมขึ้นไปยังจุดชมวิวชิโรยามะ (Shiroyama Tenshukaku Viewpoint) ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด สามารถมองเห็นทั้งหมู่บ้านได้จากมุมสูง ซึ่งเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของหมู่บ้านชิราคาวาโกะแห่งนี้เลย

นอกจากบ้านทรงกัสโซสวยๆ แล้วก็ยังมีจุดชมวิวบริเวณสะพาน Ogimachi Suspension Bridge ด้วย ยิ่งในช่วงฤดูร้อนที่ผมได้ไปมาจะได้เห็นวิวแม่น้ำ Sho River น้ำของแม่น้ำเป็นสีมรกตสดใสสวยงามมากๆ ครับ

หลังจากเที่ยวในหมู่บ้าน Shirakawa-go อย่างเต็มอิ่มแล้ว ผมก็นั่งบัสของ Nohi Bus กลับไปยัง Takayama ในช่วงบ่ายเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไปยังเมือง Matsumoto ในช่วงบ่ายนี้ครับ

มื้อกลางวันวันนี้ ผมกลับมาทานที่บริเวณใกล้ๆ ท่ารถบัส Takayama Bus Terminal เป็นร้าน Burger เนื้อ Hida ก็อร่อยดีครับ

เดินทางต่อ Takayama-Matsumoto Bus Line

หลังจากเที่ยวหมู่บ้าน Shirakawa-go เสร็จแล้ว ก็เดินทางกันต่อจากท่ารถบัส Takayama (Takayama Bus Terminal) ไปยังเมืองมัตซึโมโตะ(Matsumoto Bus Terminal) ซึ่งรอบที่ผมใช้บริการคือรอบ 14:50 ซึ่งเป็นบัสที่ให้บริการโดยบ. Alpico Kotsu Bus โดยบัสจะวิ่งผ่าน Hirayu Onsen (แวะพักที่นี่ 1 ครั้ง) และต่อไปถึงปลายทางที่ Matsumoto Bus Terminal ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมดราวๆ 2 ชม.ครึ่งครับ

เส้นทางรถบัสจาก Takayama — Matsumoto

ระหว่างทางเราจะได้มองเห็นวิวสวยๆ ภายในอุทยานแห่งชาติ Chubu-Sangaku มากมาย เช่น Hirayu Onsen, เทือกเขา Hotaka, เขื่อน Nagawado Dam, Sawando Onsen เป็นต้น

เที่ยวปราสาท Matsumoto ช่วงเย็น

รถบัสเดินทางมาถึงท่ารถบัสมัตซึโมโตะได้อย่างตรงเวลา วันนี้ผู้โดยสารน้อยมาก มีไม่ถึง 10 คนบนรถเลย ถ้าใครที่มีกระเป๋าเดินทางก็สามารถโหลดเข้าใต้รถได้เลย ไม่ต้องแบกขึ้นลงให้เมื่อย ที่นั่งก็สบาย กว้างขวาง มีช่องเสียบปลั๊กชาร์ตแบตมือถือได้ ห้องโดยสารแอร์เย็นสบาย รวมถึงมีที่วางแก้วน้ำและ Free Wifi ให้ใช้ตลอดการเดินทาง เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่สะดวกสบาย ไม่เหนื่อยเลย

หลังจากที่เดินทางมาถึงเมืองมัตซึโมโตะแล้ว ผมเข้าเช็คอินเข้าที่พักซึ่งอยู่ตรงข้ามกับท่ารถบัสแล้วออกมาเดินเที่ยวเมืองมัตซึโมโตะกันต่อในช่วงเย็น ซึ่งไฮไลท์ของการมาเที่ยวเมืองมัตซึโมโตะก็คือการมาเที่ยวปราสาทมัตซึโมโตะนั่นเอง

ปราสาท Matsumoto

ปราสาทมัตซึโมโตะ (Matsumoto Castle) เป็นหนึ่งในปราสาทที่เก่าแก่และมีความสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองมัตสึโมโตะ จังหวัดนางาโนะ (Nagano) ปราสาทแห่งนี้เป็นที่รู้จักในฐานะ “ปราสาทอีกา” (Karasu-jo) เนื่องจากสีดำของตัวปราสาทที่ดูสง่างามและเข้มขรึมนั่นเอง

ลักษณะเด่นของปราสาท Matsumoto

  • ปราสาทหอคอยห้าชั้น: ปราสาท Matsumoto เป็นปราสาทหอคอยที่มีโครงสร้างห้าชั้น ซึ่งยังคงสภาพดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่ได้ผ่านการบูรณะหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักอย่างมากตั้งแต่สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 (ปี 1593–1594)
  • สีดำที่โดดเด่น: ปราสาทมีผนังสีดำที่ทำให้ดูโดดเด่นและแตกต่างจากปราสาทอื่น ๆ ในญี่ปุ่นซึ่งมักจะเป็นสีขาว ทำให้ได้รับชื่อเล่นว่า “ปราสาทอีกา”
  • คูน้ำรอบปราสาท: ปราสาท Matsumoto มีคูน้ำที่กว้างขวางล้อมรอบซึ่งช่วยเพิ่มความงดงามและป้องกันปราสาทในอดีต

ช่วงที่ผมไปเที่ยวนั้นเป็นช่วงเย็นหลังจากที่ปราสาทปิดทำการไปแล้ว (ปราสาทเปิดเข้าชมตั้งแต่ 8:30–16:30) แต่ยังเปิดให้เราเดินเข้าไปชมบรรยากาศด้านนอกได้ตลอดเวลา ซึ่งการมาเที่ยวปราสาทมัตซึโมโตะในช่วงพระอาทิตย์ตกนั้นก็ได้บรรยากาศดีไปอีกแบบ เราจะเห็นตัวปราสาทสะท้อนกับสีของคูน้ำที่รายล้อมรอบตัวปราสาทไว้ สวยงามมากๆ ครับ

วิวปราสาท Matsumoto ยามเย็น

ผมเดินออกไปหาอะไรทานรอกลับมาเที่ยวปราสาทใหม่ในช่วงเวลากลางคืน มื้อเย็นวันนี้เลือกเป็นร้านราเมงบริเวณข้างๆ ห้าง Parco Matsumoto อร่อยดีครับ

ราเมง (จำชื่อร้านไม่ได้) บริเวณห้าง Parco Matsumoto

หลังจากกินราเมงเสร็จแล้วก็เดินย้อนกลับไปเที่ยวชมปราสาท Matsumoto ในช่วงกลางคืนต่อ ที่ปราสาทจะมีการเปิดไฟสว่างในช่วงเวลากลางคืนด้วย และวันที่ผมไปก็เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงพอดี (Full Moon) วิวตอนกลางคืนยิ่งสวยเข้าไปอีกครับ เสียดายอย่างเดียวก็คืออากาศร้อนไปหน่อย เพราะเรามาเที่ยวในช่วงฤดูร้อน อากาศร้อนกว่าที่เมืองไทยอีกครับ

ปราสาท Matsumoto ยามค่ำคืนในคืนพระจันทร์เต็มดวง

บริเวณรอบๆ ตัวเมือง Matsumoto ก็มีการประดับโคมไฟเป็นสีสันสวยงามมากเช่นเดียวกัน

สรุป

เป็นวันแรกที่เราเดินทางเที่ยวรอบ Japanese Alps ตอนเหนือด้วยพาส Alps WIDE Free Passport สุดคุ้ม นั่งบัสไปเที่ยวหมู่บ้านมรดกโลกอย่าง Shirakawa-go และเดินทางต่อไปยังเมือง Matsumoto เพื่อเที่ยวชมปราสาทอีกาดำ Matsumoto Castle ในช่วงพระอาทิตย์ตกและในช่วงกลางคืนในวันพระจันทร์เต็มด้วย สวยงามประทับใจมากครับ ซึ่งถ้าคำนวณค่าเดินทางแบบรายเที่ยวแค่ในวันแรกนี้ก็คิดเป็นเกือบ 70% ของราคาพาสแล้ว เรียกว่าใช้พาสกันคุ้มตั้งแต่วันแรกเลย ในตอนต่อไปเราจะเดินทางไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติสุดสวยอลังการอย่าง Kamikochi กัน ฝากติดตามกันด้วยนะครับ Happy Travel!

--

--