10 ข้อคิดดีๆ ที่ได้เรียนรู้หลังจากการดูซีรีส์ Itaewon Class
ผมเพิ่งจะมีเวลามานั่งดูซีรีส์เกาหลียอดฮิตในช่วงต้นปี 2020 นี้อย่าง “Itaewon Class ธุรกิจปิดเกมแค้น” จนจบหลังจากดองมานานครับ ยอมรับเลยว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เห็นซีรีส์เรื่องนี้เริ่มฉายใหม่ๆ ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะดูเรื่องนี้เท่าไรเลย อาจจะเนื่องด้วยหลายๆ เหตุผลทั้งนักแสดงที่ส่วนใหญ่เป็นนักแสดงหน้าใหม่และเนื้อเรื่องที่ดูเครียดๆ ในช่วงแรกๆ แต่พอดูไปได้ 2–3 ตอน ต้องบอกเลยครับว่าสนุกมากติดหนึบจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย ผมชอบการเล่าเรื่องบวกกับการแฝงข้อคิดต่างๆ ให้ผู้ชมในซีรีส์เรื่องนี้มากมาย จนอยากจะมาเขียนเป็น “10 ข้อคิดที่ได้เรียนรู้จากการดูซีรีส์ Itaewon Class” เก็บไว้เป็นข้อคิดดีๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้จากการได้ดูซีรีส์ซักเรื่องนึง
สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วบังเอิญเปิดมาอ่านเจอบทความนี้ สิ่งที่ผมจะเขียนในบทความนี้อาจจะมีการสปอยล์เนื้อเรื่องบางส่วนอยู่บ้าง ถ้ายังไงจะข้ามไปดูซีรีส์จนจบแล้วค่อยกลับมาอ่านบทความนี้ทีหลังก็ได้นะครับ ไม่ว่ากัน
เนื้อเรื่องย่อ
“Itaewon Class” หรือชื่อภาษาไทย “ธุรกิจปิดเกมแค้น” เป็นละครซีรีส์เกาหลีความยาว 16 ตอน ออกอากาศทางช่อง JTBC และ Netflix ในระบบ Online Streaming สร้างมาจากจากเว็บตูนชื่อดังในแพลตฟอร์ม Daum ของเกาหลี (อ่านฟรีได้ที่นี่ เป็นภาษาเกาหลี) เขียนโดยคุณโจควังจิน เป็นเรื่องราวของ “พัคแซรอย” (แสดงโดยนักแสดงพัคซอจุน) เด็กหนุ่มผู้มีความทะเยอทยานและมีความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิต แต่ต้องมาเจอจุดพลิกผันของชีวิตครั้งใหญ่เมื่อมีเหตุทะเลาะวิวาทกับ “ชางกึนวอน” เพื่อนร่วมชั้นในสมัยมัธยมปลายซึ่งเป็นลูกชายของ “ชางแดฮี” ประธานบริษัท “ชางกา” บริษัทอุตสาหกรรมอาหารอันดับหนึ่งของเกาหลี เหตุเพียงเพราะไปช่วยเพื่อนร่วมชั้นที่ถูกชางกึนวอน Bully อยู่บ่อยๆ
พัคแซรอยต้องพบกับประธานชางแดฮีผู้เป็นพ่อของชางกึนวอนซึ่งใช้อิทธิพลของตัวเองบีบบังคับจนทำให้พัคแซรอยต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียน และพ่อของเขา “พัคซองยอล” ซึ่งทำงานอยู่กับบริษัทชางกาก็ต้องลาออกจากบริษัทเช่นกัน (เพราะลูกชายไปกระตุกหนวดเสือเข้า) และหลังจากนั้นไม่นาน พัคซองยอลประสบอุบัติเหตุถูกชางกึนวอนขบรถชนจนเสียชีวิต พัคแซรอยรู้เรื่องนี้จากเพื่อนคนเดียวของเค้าในชั้นซึ่งก็คือ “โอซูอา” พัคแซรอยโกรธมากจึงได้ไปทำร้ายร่างกายชางกึนวอนจนได้รับโทษถึงกับติดคุกถึง 3 ปี หลังจากได้รับการปล่อยตัว พัคแซรอยมีเป้าหมายในชีวิตเพียงอย่างเดียวคือต้องการล้มบริษัทชางกาและคนในตระกูลชางเพื่อล้างแค้นให้กับพ่อของเขาที่ต้องเสียชีวิตไป จึงเป็นที่มาของการเปิดร้านอาหาร “ทันบัม” กับกลุ่มเพื่อนของเขาเพื่อที่จะมาต่อกรกับชางกาเพื่อที่จะก้าวขึ้นมาเป็นบ.ผลิตอาหารอันดับ 1 ของเกาหลีให้ได้
แค่เนื้อเรื่องตัวอย่างก็บอกได้เลยครับว่าสนุกเร้าใจมากๆ ใครที่ชอบซีรีส์แนว Revenge ล้างแค้นแบบไม่เน้นใช้กำลังแต่ใช้สมองต้องดูเรื่องนี้ให้ได้เลยนะครับ ซึ่งหลังจากที่ผมดูซีรีส์เรื่องนี้อย่างมาราธอนจนจบ 16 ตอนก็รู้สึกว่าได้ข้อคิดดีๆ ที่อยากจะมาเขียนเก็บไว้เพื่อสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตของตัวเองได้ดังนี้ครับ
ข้อคิดที่ผมจะเขียนในบทความนี้ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับใครทั้งสิ้นนะครับ
1. หาสิ่งที่ตัวเองชอบ และทำมันไปให้สุด
ตัวละครพัคแซรอย พระเอกของเรื่องแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของตัวเองตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แรกเริ่มเดิมทีพัคแซรอยตั้งใจว่าจะสอบเข้าเป็นตำรวจให้ได้ เพราะตัวเค้ามองว่าตำรวจคืออาชีพที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายให้สร้างความยุติธรรมให้กับสังคม แต่ฝันของเค้าก็ต้องสลายเมื่อพ่อของเค้าต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุและตัวเค้ามีเหตุให้ต้องจำคุก ทำให้ไม่สามารถเป็นตำรวจได้อีกต่อไป (เพราะมีคดีติดตัว) ทำให้เค้าต้องเบนเข็มและค้นพบตัวเองว่าเค้าอยากจะเปิดร้านอาหาร ส่วนนึงก็เพราะพ่อของเค้าเคยชมว่าตัวเค้าทำอาหารอร่อย และอีกแรงจูงใจก็คือการแก้แค้นให้กับพ่อของเค้าโดยการทำธุรกิจแข่งกับบริษัทชางกานั่นเอง แต่ไม่เพียงจะเปิดร้านอาหารธรรมดา แต่พัคแซรอยยังต้องการทำให้ร้านอาหารของเค้าเป็นอันดับ 1 ของเกาหลีให้ได้ เรียกว่าสุดมากจริงๆ มันแสดงให้เห็นว่าเราควรค้นพบตัวเองให้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าเราชอบทำอะไร และอะไรคือสิ่งที่เราจะสามารถทำมันเป็นอาชีพไปได้ตลอดชีวิต และที่สำคัญคือไม่ใช่แค่ว่าแค่ชอบทำมัน แต่ต้องทำให้ดีที่สุดอีกต่างหาก เป็นแนวคิดที่น่าสนใจและน่าเอาเป็นตัวอย่างมากๆ ครับ
2. ตั้งเป้าให้ไกลเข้าไว้ จะได้มีแรงตื่นมาทำตามเป้าหมายของชีวิตให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน
ซีรีส์เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าการใช้ชีวิตไม่ใช่เราจะใช้ชีวิตทำงานหาเงินมาเลี้ยงชีพไปได้ในแต่ละวัน แต่เราต้องมีการตั้งเป้าหมายในชีวิตว่าสิ่งที่เราทำอยู่ในทุกๆ วันนั้นเราทำไปเพื่ออะไร และเรามีเป้าหมายกับมันไว้อย่างไร? อย่างในซีรีส์เรื่องนี้ พัคแซรอยตั้งเป้ากับร้านอาหาร “ทันบัม” ของเค้าไว้อย่างน่าสนใจ เค้าใช้เวลา 7 ปีหลังจากพ้นโทษจากคุกทำงานเป็นชาวประมงเก็บเงินเพื่อเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองให้ได้ และเมื่อร้านอาหารเริ่มขายได้ก็เริ่มวางแผนขยายสาขา ขายแฟรนชายส์ออกไปเพื่อให้ธุรกิจมียอดขายที่มากขึ้นเพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับ “ชางกา” ศัตรูทางธุรกิจของเค้าให้ได้ เป้าหมายของเค้าได้สร้างพลังบวกให้กับเพื่อนร่วมทีมในร้านอาหารของเค้าที่จะช่วยกันพัฒนาร้านของเค้าให้ไปถึงเป้าหมายให้ได้ มันเป็นการสร้างแรงบัลดาลใจให้คนที่ทำงานมีแรงที่จะตื่นมาทำงานที่ตัวเองชอบให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน ส่วนตัวผมคิดว่าเมื่อเราได้ทำในสิ่งที่เราชอบจริงๆ แล้วเราจะไม่คิดว่ามันเป็นงาน แต่มันคือสิ่งที่เราอยากจะทำมันโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบังคับให้ทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งผมว่ามันดีมากๆ
3. ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ต้องลองทำมันดูก่อน
ตัวละครพัคแซรอยมักจะพูดอยู่เสมอๆ ว่าเค้าเชื่อมั่นในสิ่งที่เค้าทำ และไม่มีอะไรที่เค้าคิดว่าจะทำไม่ได้ ถ้าไม่ได้ลองทำมันดูก่อน ซึ่งผมว่ามันจริงมาก หลายคนอาจจะกลัวกับสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำ และไม่กล้าที่จะทำมัน มันอาจจะทำให้เราพลาดอะไรดีดีในชีวิตไปก็ได้ อย่างในเรื่องร้านอาหารทันบัมในช่วงแรกๆ นั้นก็มียอดขายที่ไม่ดี แทบไม่มีลูกค้าเข้าร้าน ก็มาจากการขาดความรู้และประสบการณ์การทำธุรกิจที่ไม่รู้ว่าร้านอาหารหนึ่งร้านนอกจากอาหารแล้วยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะทำให้คนอยากเข้ามาทานอาหารที่ร้าน การที่ได้รับคำแนะนำจาก “โชอีซอ” นางเอกของเรื่องทำให้พัคแซรอยได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ เช่นการโปรโมทร้านผ่านทาง Social Network ต่างๆ หรือการตกแต่งร้านให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น ก็ช่วยให้ร้านมียอดขายที่ดีขึ้นได้ เรียกได้ว่าพัคแซรอยได้ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำ แถมผลที่ออกมานั้นก็ดีมากซะด้วย
4. รู้จักการลงทุน อดออม แบ่งเงินไปทำงานแทนเรา
พัคแซรอยเป็นคนที่รู้จักอดออมและรู้จักการใช้เงินอย่างดี ส่วนหนึ่งก็อาจจะมาจากพื้นฐานครอบครัวของเค้าเองด้วยที่เป็นครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวยอะไร หลังจากที่พ่อของเค้าเสียชีวิตไป พัคแซรอยได้รับเงินประกันมาก้อนหนึ่ง ด้วยความที่ตัวเค้าเองเรียนจบแค่ม.ต้นจึงไม่ได้มีความรู้ทางการเงินที่ดีเท่าไร แต่เค้าก็ยังโชคดีที่มีเพื่อนอย่าง “อีโฮจิน” เพื่อนร่วมชั้นผู้ซึ่งโดนชางกึนวอน Bully อยู่บ่อยๆ แต่ภายหลังกลับเป็นคนที่มีความรู้ด้านการเงินอย่างมาก พัคแซรอยได้ให้อีโฮจินนำเงินประกันของพ่อเขาไปลงทุนในหุ้นของบ.ชางกาในช่วงที่หุ้นของบ.ชางกาตกอย่างหนัก จนสุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปกลับได้ผลกำไรเป็นอย่างมาก และทำให้เค้าสามารถใช้เงินที่งอกเงยจากจุดนั้นในการแก้ปัญหาและพัฒนาร้าน “ทันบัม” ของเค้าต่อมาได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าคนเราไม่มีข้ออ้างที่ว่าจะไม่รู้จักวิธีการบริหารเงิน เพียงแค่ศึกษามันและรู้จักอดออมและใช้เงินทำงานแทนเราให้ดี และมันจะเป็นผลดีกับเราในอนาคตในยามจำเป็นที่เราจะต้องการใช้เงินอย่างจริงจังนั่นเอง
5. จงใจชีวิตอย่างกล้าหาญ ไม่กลัวสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่ถูกต้อง
พัคแซรอยใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง เขาไม่เคยก้มหัวหรือยอมรับกับสิ่งที่เค้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรมกับสังคม และไม่กลัวการเอากฎหมู่มาเหนือกฎหมาย ตั้งแต่ในสมัยเรียนแล้วในจุดเริ่มต้นของความบาดหมางของเค้าและตระกูลชางก็เป็นเพราะว่าเค้ามองว่าการที่ชางกึนวอนใช้อำนาจและอิทธิพลของพ่อตัวเองบังคับให้ครูในโรงเรียนต้องทำตามเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และเค้าจะไม่มีวันคุกเข่าและเอ่ยคำขอโทษให้กับสิ่งเหล่านี้ ผมว่ามันเป็นแนวคิดที่น่าสนใจมากๆ การที่คนๆ นึงจะสามารถทำสิ่งนี้ได้จะต้องมีความกล้าหาญและไม่กลัวกับสิ่งที่คิดว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งผมมองว่ามันเป็นการสร้างค่านิยมที่ดีให้กับสังคม และทำให้การบังคับใช้กฎหมายนั้นศักดิ์สิทธิ์และเท่าเทียมกับคนทุกคนจริงๆ ครับ
6. ไม่เลือกงาน ไม่ยากจน
การที่พัคแซรอยต้องโดนจำคุกจากเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายชางกึนวอนในวันนั้น ทำให้โอกาสการทำงานเลี้ยงชีพของเค้าในอนาคตแทบจะดับวูบ เพราะเค้าจะต้องกลายเป็นคนที่ “มีคดี” ติดตัวไปตลอดกาล และโอกาสที่องค์กรต่างๆ จะรับเค้าเข้าทำงานนั้นแทบจะเป็นศูนย์เลยก็ว่าได้ แต่พัคแซรอยเป็นคนขยันที่ไม่เลือกงาน พร้อมทำทุกอย่างที่สุจริตที่เค้าจะสามารถเก็บเงินมาเพื่อเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองให้ได้ เค้าทำมาหลายอาชีพ ทั้งเป็นกรรมกรและเป็นชาวประมง เรียกได้ว่าสำนวนที่ว่า “ไม่เลือกงาน ไม่ยากจน” มันใช้ได้จริงนะครับ ขอเพียงแค่เราตั้งใจทำงานหาเลี้ยงชีพสุจริต ไม่ไปคดโกงใคร และรู้จักเก็บเงินที่ได้มาอย่างดี ก็น่าจะช่วยให้เรามีกินไปได้อย่างไม่ขัดสนได้ ผมว่าแนวคิดและทัศนคติตรงนี้สำคัญมากจริงๆ ครับ
7. รู้จักการให้โอกาสคน และมองคนที่ความสามารถ
ร้านอาหาร “ทันบัม” คือร้านอาหารที่ให้โอกาสคนทำงานอย่างแท้จริง พัคแซรอยได้พบกับ “มาฮยอนฮี” เพื่อนสมัยทำงานโรงงานของเค้าที่เคยทำข้าวกล่องให้เค้าทานจนติดใจ เลยชวนมาเป็นพ่อครัวหลักของร้านอาหารทันบัม ทั้งๆ ที่มาฮยอนฮีไม่เคยเรียนทำอาหารอย่างจริงจังมาก่อน “ชเวซึงควอน” นักโทษรุ่นน้องที่เคยบาดหมางกันมาก่อนสมัยอยู่ในคุก แต่หลังจากได้รู้จักกัน ชเวซึงควอนก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากพัคแซรอยจนได้รับการชักชวนให้มาเป็นพนักงานเสิร์ฟของร้าน หรือแม้กระทั่ง “โชอีซอ” เด็กสาววัย 20 ปีผู้ซึ่งเพิ่งเรียนจบมัธยม ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานร้านอาหาร แต่ได้รับการเลือกให้มาเป็นผู้จัดการของร้านด้วยความที่โชอีซอมีทักษะความสามารถโดดเด่นอย่างที่อาจจะหาไม่ได้จากคนทั่วไป เรียกได้ว่าพัคแซรอย เป็นเจ้าของกิจการที่รู้จักการให้โอกาสคน แม้แต่ละคนจะไม่ได้เรียนจบสูงๆ เหมือนคนทั่วไป แต่ทุกคนก็มีความสามารถในการทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี ทำให้ผมได้ข้อคิดที่ดีว่าเราต้องรู้จักการมองคนที่ความสามารถมากกว่าหน้าตา ฐานะทางสังคม หรือแม้กระทั่งการศึกษา และต้องรู้จักการให้โอกาสคนได้ลองทำงาน ได้ลองผิดลองถูกเพื่อให้เค้าสามารถพัฒนาตัวเองในสายงานอาชีพของเค้าให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน
8. ทำผิดและยอมรับผิด ไม่เอากฎหมู่มาเหนือกฎหมาย
อย่างที่บอกไปว่าพัคแซรอยเป็นคนที่เชื่อมั่นในความยุติธรรมในสังคมมากๆ และไม่ยอมให้ใครเอากฎหมู่มาเหนือกฎหมาย จากคดีทำร้ายร่างกายที่พัคแซรอยทำร้ายชางกึนวอนด้วยความโกรธทำให้ตัวเค้านั้นต้องติดคุกถึง 3 ปี หนึ่งในตัวละครที่มีผลกับคดีนี้ก็คือนักสืบ “โอบยองฮอน” ผู้ซึ่งถูกอิทธิพลของประธานชางแดฮีกดดันจนต้องปิดการสืบสวนคดีที่พ่อของพัคแซรอยถูกชางกึนวอนขับรถชนจนเสียชีวิตโดยให้โบ้ยผิดไปให้กับคนสวนของประธานชางแทนที่จะเป็นชางกึนวอนลูกชายของเขา ซึ่งเป็นตราบาปที่ติดตัวนักสืบโอจนต้องลาออกจากการเป็นตำรวจในเวลาต่อมา พัคแซรอยทราบเรื่องนี้ดีและได้ว่าจ้างให้นักสืบโอซึ่งผันตัวมาเป็นคนส่งวัตถุดิบให้กับร้าน “ทันบัม” แทน นักสืบโอรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มากเพราะเหตุที่ทำไปตอนนั้นเพียงเพราะต้องการปกป้องลูกสาวของตัวเองที่ยังเล็ก เมื่อเวลาผ่านไปพัคแซรอยได้ขอให้นักสืบโอช่วยเปิดโปงเรื่องนี้ เพื่อให้เค้าสามารถจัดการกับตระกูลชางให้ได้ สุดท้ายนักสืบโอซึ่งรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มากได้ทำการมอบตัวและหลักฐานเพื่อให้ทำการรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาสอบสวนเรื่องนี้อีกครั้ง เป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้เราเห็นได้ว่าคนเราทำผิดพลาดได้ แต่ต้องยอมรับผิดและรับผิดชอบความผิดของตัวเองตามกฎหมาย ซึ่งผมคิดว่ามันจะช่วยให้สังคมเรามีค่านิยมที่ดีและคนในสังคมก็จะรู้สึกชื่นชมในความกล้านี้มากๆ ครับ
9. Network และ Connection ก็สำคัญมากๆ ในการทำธุรกิจ
ในซีรีส์เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าการมี Networking หรือ Connections ต่างๆ นั้นมีความสำคัญมากที่จะทำให้การทำธุรกิจให้สำเร็จ ตั้งแต่เด็กพัคแซรอยเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าสังคมจนโดนพ่อของเค้าว่าบ่อยๆ แต่เค้าโชคดีที่ได้เพื่อนที่ไว้วางใจได้อย่าง “อีโฮจิน” ช่วยบริหารเงินให้เขาจนงอกเงย รวมทั้งยังพาไปรู้จักกับผอ. “คังมินจอง” ผู้บริหารระดับสูงของชางกา ซึ่งเป็นคู่ปรับกับประธานชาง เพื่อที่เค้าสามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆ ภายในองค์กรรวมถึงร่วมมือกันวางแผนเพื่อโค่นอำนาจของคนในตระกูลชางออกไปให้ได้ เรียกได้ว่านอกจากที่เราจะทำธุรกิจของตัวเองให้ดีแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ยังสอนให้เรารู้ว่าการทำธุรกิจให้สำเร็จได้นั้น การมี Connection หรือการมีกัลยาณมิตรที่ดีก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เช่นกันที่จะสามารถช่วยให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จได้ แต่เราก็ต้องมองคนให้ดี ไม่ใช่ว่าสร้าง Partner ทางธุรกิจเพียงเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น แต่ต้องเป็นคนดีมีจริยธรรมที่ดีที่เราสามารถเชื่อมั่นกับคนๆ นั้นได้ด้วย
10. ความเป็นผู้นำของซาจังนิม ที่เห็นคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญมากที่สุดในองค์กรมากกว่าสิ่งใด
ซาจังนิม (사장님) ในภาษาเกาหลีใช้เรียกแทนคนที่เป็นเจ้าของกิจการตั้งแต่ระดับเล็กๆ ไปจนถึงกิจการขนาดใหญ่เลย ซึ่งในเรื่องก็คือพัคแซรอย เจ้าของร้านทันบัมพระเอกของเรานั่นเอง พัคแซรอยแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำองค์กรที่ดีในหลายๆ ครั้ง เค้าพร้อมอยู่เคียงข้างกับพนักงานทุกคนในร้าน ในยามที่ร้านเกิดวิกฤตหลายครั้ง เค้าก็เลือกที่จะรักษาพนักงานของร้านเอาไว้แทนที่จะไล่ออกเพื่อแก้ปัญหา อย่างในซีรีส์ช่วงหนึ่งที่ “มาฮยอนฮี” เชฟของร้านทันบัมถูกลูกค้า Complain ถึงคุณภาพและรสชาติของอาหารที่ไม่อร่อย รวมถึง “โชอีซอ” ผู้จัดการของร้านถึงกับบอกให้พัคแซรอยไล่ออกเพราะมาฮยอนฮีไม่เคยแม้กระทั่งเป็นเชฟในร้านอาหารมาก่อน สิ่งที่พัคแซรอยทำแทนที่จะไล่มาฮยอนฮีออกจากงาน แต่กลายเป็นการให้เงินเดือนเพิ่ม 2 เท่าและขอให้มาฮยอนฮีปรับปรุงตัวและทำอาหารออกมาให้ดีกว่าเดิมเพื่อตอบแทนกับค่าจ้างที่ให้เพิ่มไป เรียกได้ว่าเป็นการซื้อใจพนักงานได้อย่างดีมาก จนสุดท้ายมาฮยอนฮีก็สามารถพัฒนาฝีมือการทำอาหารของตัวเองจนเป็นที่ยอมรับของทุกคนในร้านได้ ใครจะไปคิดนะครับว่าพัคแซรอยจะใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหา ได้ใจจริงๆ แสดงให้เห็นว่าเค้าให้ความสำคัญของคนในองค์กรมากกว่าสิ่งใด เพราะคนคือทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดที่จะทำให้องค์กรขับเคลื่อนหรือเติบโตไปข้างหน้าได้จริงๆ ครับ
สรุป
เรียกได้ว่า “Itaewon Class” เป็นซีรีส์น้ำดีที่นอกจากจะให้ความสนุกเร้าใจและสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมในแต่ละตอนแล้ว ยังแฝงไปด้วยข้อคิดในการใช้ชีวิตและการทำงานต่างๆ ที่เราในฐานะผู้ชมสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้หลายๆ อย่างเลยนะครับ นี่เป็นบทความแรกที่ผมเขียนเกี่ยวกับซีรีส์เกาหลีเลย ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ไว้ถ้ามีโอกาสจะมาเขียนบทความแนะนำซีรีส์น่าดูต่อๆ ไปอีกนะครับ สวัสดีครับ :)
Credit รูปประกอบจาก http://www.dramabeans.com และ http://tv.jtbc.joins.com