เที่ยวญี่ปุ่น: One Day Trip ใกล้โตเกียว Kamakura และเกาะ Enoshima แบบจัดเต็ม!
ถ้าคุณกำลังมองหาทริปใกล้โตเกียวที่ครบครันทั้งวัฒนธรรม ธรรมชาติ และบรรยากาศริมทะเล ทริปนี้คือคำตอบ! ในช่วงปลายฤดูร้อน ผมออกเดินทางด้วยตัวเองคนเดียวไปยัง คามาคุระ (Kamakura) เมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของวัดเก่าแก่ และ เกาะเอโนชิมะ (Enoshima Island) จุดชมวิวทะเลสุดประทับใจ ทั้งหมดนี้ทำได้แบบไป-กลับในวันเดียวจากโตเกียว
ทริปนี้เริ่มต้นด้วยการไหว้พระ Daibutsu (พระใหญ่) ที่เป็นสัญลักษณ์ของคามาคุระ ต่อด้วยการนั่งรถไฟสาย Enoden รถไฟเล็กๆ ที่พาเราชมวิวสุดคลาสสิก และแวะเที่ยวตามจุดสำคัญต่างๆ ก่อนปิดท้ายด้วยการเดินข้ามสะพานไปยัง เกาะเอโนชิมะ (Enoshima island) ที่เต็มไปด้วยร้านค้าและวิวพระอาทิตย์ตกสุดอลังการ
อ่านต่อในบล็อกนี้ แล้วไปดูว่าเส้นทางนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบเที่ยวคนเดียว และอยากเก็บความสงบผสมความสนุกไว้ในทริปเดียว! 🌞🚃
การเดินทาง
ผมออกเดินทางจากที่พักย่าน Kamata ในโตเกียว ใกล้สนามบิน Haneda เดินทางด้วยรถไฟสาย Keikyu Kurihama แบบ Limited Express ไปลงยังสถานี Yokohama และเปลี่ยนเป็นรถไฟสาย Shonan-Shinjuku Line (JS) เพื่อไปลงยังสถานี Kamakura ใช้เวลาเดินทางราว 50 นาที ค่าโดยสารสามารถแตะจ่ายด้วยบัตร IC Card ได้เลย หรือถ้าใครที่ถือ JR Pass อยู่แล้วสามารถใช้พาสเพื่อขึ้นรถไฟสาย Shonan-Shinjuku Line (ให้บริการโดย JR East) ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะครับ
และถ้าใครที่สนใจอยากซื้อ JR Pass เพื่อใช้เดินทางท่องเที่ยวรอบประเทศญี่ปุ่น สามารถกดสั่งซื้อได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ไทยผ่าน KKDay ได้ที่ลิ้งค์นี้เลยครับ มีให้เลือกทั้งแบบ 7, 14 และ 21 วันเลย สะดวกมากๆ ที่สำคัญคือราคาดีมากด้วยนะ
หลังจากถึงที่สถานี Kamakura แล้ว ผมออกจากสถานีรถไฟ JR เพื่อไปซื้อตั๋วรถไฟสาย Enoden Line ซึ่งเป็นรถไฟสายที่เราสามารถใช้เดินทางท่องเที่ยวรอบเมือง Kamakura ได้ ผมเลือกซื้อตั๋วแบบเหมา One Day Pass หรือในภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่าตั๋วรถไฟแบบ “Noriorikun” สามารถใช้ขึ้นลงรถไฟสายนี้ได้ไม่จำกัดจำนวนรอบ เพราะผมต้องการแวะเที่ยวตามสถานีต่างๆ ที่เป็นจุดท่องเที่ยวของเมือง Kamakura แห่งนี้ ตั๋ว One Day Pass ราคาผู้ใหญ่คนละ 800 เยน เด็กคนละ 400 เยน เทียบกับตั๋วรายเที่ยว 190-310 เยน แค่ขึ้นลง 3–4 สถานีก็คุ้มแล้วครับ สามารถซื้อตั๋วด้วยตัวเองกับตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติได้เลย สะดวกมากๆ
หลังจากได้ตั๋วมาแล้ว ก็มาขึ้นรถไฟกัน รถไฟสาย Enoden Line กัน รถไฟสายนี้เป็นรถไฟสายคลาสสิคที่วิ่งระหว่างเมือง Kamakura ไปยังเมือง Fujisawa เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1902 เส้นทางของรถไฟวิ่งเลียบชายฝั่งทะเล เราสามารถชมวิวสวยๆ ของทะเลได้ตลอดทาง และยังผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ของทั้งสองเมืองนี้หลายแห่งเลย ดังนั้นถ้าใครจะมาเที่ยวเมือง Kamakura ก็ขอแนะนำให้ลองมานั่งรถไฟสายนี้กันดูครับ
1. วัด Kotoku-in
ที่แรกที่เราจะไปเที่ยวกันวันนี้คือวัดโคโตคุอิน (Kotoku-in) ซึ่งเป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมือง Kamakura เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปใหญ่ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า พระใหญ่ไดบุตสึ (The Great Buddha Daibutsu) ซึ่งมีความสูงกว่า 13.35 เมตร เราสามารถเข้าไปเยี่ยมชมความสวยงามและไหว้พระขอพรได้ที่วัดแห่งนี้ มีค่าเข้าชม 300 เยนนะครับ โดยถ้าใครที่นั่งรถไฟสาย Enoden มาให้ลงที่สถานี “Hase” และเดินต่อมาที่วัดอีกประมาณ 10–15 นาทีครับ
เดินออกมาจากวัด Kotoku-in นิดนึง ผมแวะร้านกาแฟชื่อดังที่มีชื่อว่า “Kannon Coffee” ซึ่งเป็นร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่โดดเด่นด้วยบรรยากาศเรียบง่ายแบบญี่ปุ่นผสมผสานความมินิมอล เป็นร้านยอดนิยมที่ทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวชื่นชอบ โดยมีจุดเด่นที่ เครป ที่กรอบนอกนุ่มใน พร้อมไส้ที่หลากหลายและอร่อยมาก เช่น ไส้ถั่วแดง ไส้ครีม หรือไส้ผลไม้ตามฤดูกาล นอกจากนี้ยังมีเมนูเครื่องดื่ม เช่น กาแฟลาเต้หรือมัทฉะลาเต้ที่เข้ากันได้ดีกับเครปเลยครับ
2. Cape Inamuragasaki
ผมเดินทางต่อด้วยรถไฟมาลงที่สถานี Inamuragasaki เพื่อออกมาเที่ยวแหลมอินะมุระงาซากิ (Cape Inamuragasaki) ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกจุดหนึ่งในเมือง Kamakura เป็นจุดชมวิวริมทะเลที่สวยงามและมีความสำคัญทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และธรรมชาติ
ที่บริเวณแหลม Inamuragasaki นี้เราสามารถเดินเล่นเที่ยวชมวิวอ่าว Sagami Bay ซึ่งมีชายหาดที่มีทรายสีดำซึ่งเป็นทรายที่เกิดจากภูเขาไฟ (Volcanic Sand) ที่เกิดจากการผสมของแร่ธาตุต่าง ๆ และเศษหินที่มาจากภูเขาไฟในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ภูเขาไฟฟูจิที่อยู่ในจังหวัด Yamanashi และ Shizuoka โดยในวันที่อากาศแจ่มใสเราสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิจากบริเวณนี้ได้อีกด้วย น่าเสียดายที่วันที่ผมไปนั้นมีเมฆค่อนข้างเยอะ ทำให้มองไม่ค่อยเห็นฟูจิซังเลย แต่บรรยากาศบริเวณชายหาดนั้นดีมากครับ มีร้านอาหาร คาเฟ่เก๋ๆ ชิคๆ เยอะเลย ใครที่ชอบมาเดินชมวิวรับลมทะเลเย็นๆ ก็มานั่งชิลพักผ่อนกันที่นี่ได้
3. Kamakurakokomae
จุดถัดมา ผมนั่งรถไฟมาลงที่สถานีคามาคุระโคโคมาเอะ (Kamakurakokomae) ที่สถานีแห่งนี้เป็นหนึ่งในฉากของการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง “Slam Dunk” โดยในการ์ตูนเรื่อง Slam Dunk จะมีฉากที่ตัวเอก ซากุรางิ ฮานามิจิ ยืนอยู่ตรงสัญญาณไฟข้ามถนนริมชายหาด พร้อมกับวิวทะเลและรถไฟสาย Enoden ที่วิ่งผ่านเบื้องหลัง ซึ่งฉากดังกล่าวเป็นภาพที่จำลองมาจากสถานี Kamakurakokomae แห่งนี้และมีทางม้าลายข้ามถนนที่อยู่หน้าสถานี ซึ่งกลายเป็นไอคอนของแฟน Slam Dunk นั่นเอง
บริเวณนี้จะมีนักท่องเที่ยวมายืนรอถ่ายรูปกับรถไฟสาย Enoden ที่วิ่งผ่านไปมา คล้ายกับว่าหลุดเข้าไปในฉากหนึ่งในการ์ตูนเรื่อง Slam Dunk เลย ใครที่เป็นแฟนการ์ตูนเรื่องนี้ก็สามารถมาถ่ายรูปวิวสวยๆ กับทางรถไฟและวิวทะเลสวยๆ บริเวณนี้ได้ครับ (คนจะเยอะๆ หน่อยนะ ถ้าไม่อยากถ่ายติดคนต้องมาแต่เช้าตรู่ครับ)
4. เกาะอิโนะชิมะ (Enoshima Island)
ผมนั่งรถไฟต่อมาลงที่สถานีอิโนะชิมะ (“Enoshima”) เพื่อมาเที่ยวชมเกาะอิโนะชิมะ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของการมา One Day Trip ที่เมือง Kamakura แห่งนี้เลยครับ
ผมแวะทานมื้อเที่ยงเติมพลังซักหน่อย ที่เมือง Kamakura แห่งนี้ วัตถุดิบขึ้นชื่อก็คือ “ปลาชิราสึ (Shirasu)” ซึ่งมีลักษณะเป็นปลาตัวเล็กๆ คล้ายๆ ปลาแองโชวี่ หรือปลาไวท์เบต (Whitebait) มีเมนูที่ทำจากปลาชิราสึให้เลือกมากมายครับ มื้อกลางวันนี้ผมเลือกสั่งเป็นปลาชิราสึเทมปุระเซ็ตครับ อร่อยดี แต่แอบแห้งไปนิดครับ
หลังจากอิ่มท้องแล้ว ผมก็เดินต่อข้ามสะพาน EnoshimaBentenbashi เพื่อมายังเกาะ Enoshima ทางเดินบนสะพานทำได้ดี เดินสะดวกมาก บนเกาะแห่งนี้จะต้องเดินเที่ยวอย่างเดียวนะครับ ไม่มีรถโดยสารใดๆ
ศาลเจ้า Enoshima Shrine: เริ่มต้นด้วยความสงบ
เริ่มต้นการเดินทางด้วยการเยี่ยมชม ศาลเจ้า Enoshima Shrine ซึ่งมีบรรยากาศเงียบสงบและอบอุ่น ตัวศาลเจ้ามีความสวยงามแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม และบันไดที่ทอดยาวสู่ศาลชั้นบนให้ความรู้สึกเหมือนได้เดินทางเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ บริเวณรอบศาลยังมีรูปปั้นและสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับตำนานของเกาะ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์อย่างแท้จริงเลยครับ
สวน Samuel Cocking Garden และ Enoshima Sea Candle: ชมวิวมุมสูงสุดอลังการ
การเดินเข้าสู่ Samuel Cocking Garden เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศสู่ธรรมชาติที่สวยงามและมีชีวิตชีวา สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ที่จัดเรียงอย่างลงตัว ซึ่งในแต่ละฤดูจะให้ความงามที่แตกต่างกันไปครับ
จุดชมวิว Enoshima Sea Candle Observation Deck
บนเกาะ Enoshima แห่งนี้จะมีจุดชมวิวที่สูงที่สุดของเกาะ นั่นคือ Sea Candle Observation Deck โดยเราสามารถขึ้นไปบน Enoshima Sea Candle Observation Deck เพื่อชมวิว 360 องศาของทะเล Sagami Bay และในวันที่อากาศแจ่มใส เราสามารถมองชมวิวภูเขาไฟฟูจิแบบชัดๆ ได้บนจุดชมวิวแห่งนี้ด้วย เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว ความรู้สึกที่ได้มองเห็นโลกกว้างนั้นพิเศษจริง ๆ ลมพัดแรงเย็นสบาย สำหรับการขึ้นไปชมวิวด้านบน Observation Deck มีค่าใช้จ่าย 500 เยนนะครับ
ถึงจะขึ้นบนอยู่บน Observation Deck ที่ความสูงขนาดนี้ แต่ที่นี่สัญญาณอินเตอร์เน็ตมือถือผมก็ยังแรงดีไม่มีตก เพราะทริปนี้ผมเลือกใช้บริการซิมการ์ดเอเชียในรูปแบบ eSim จาก AIS ซึ่งสัญญาณดีทุกพื้นที่ในประเทศญี่ปุ่นเลย และยังสามารถใช้งานได้มากถึง 6 GB 8 วันใน 31 ประเทศทั่วทวีปเอเชีย ไม่ต้องเปลี่ยนซิมให้เสียเวลา ถ้าใครสนใจก็สามารถกดสั่งซื้อผ่าน KKDay ได้ที่ลิ้งค์นี้เลยครับ สะดวกมากๆ แนะนำเลย
ถ้ำ Iwaya Caves: ศิลปะและตำนานในมิติที่ลึกลับ
หลังจากขึ้นไปชมวิวที่ Enoshima Sea Candle แล้ว ผมเดินต่อมายัง Iwaya Caves ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง ภายในถ้ำมืดที่มีการจัดแสงอย่างสวยงาม บอกเล่าเรื่องราวของตำนานมังกรและเทพเจ้าของเกาะ ผ่านรูปสลักและเสียงที่ช่วยสร้างบรรยากาศได้อย่างดี การเดินสำรวจในถ้ำให้ความรู้สึกทั้งสงบและลึกลับในเวลาเดียวกัน มีค่าเข้าชม 500 เยนนะครับ
Dragon’s Love Bell
จาก Iwaya Caves ผมเดินต่อมานยัง Dragon’s Love Bell ซึ่งเป็นระฆังที่เกี่ยวข้องกับตำนานที่เล่าขานเรื่องราวความรักระหว่าง เทพธิดา Benzaiten และมังกรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นภัยต่อผู้คนบนเกาะ แต่สุดท้ายมังกรได้ตกหลุมรักเทพธิดาและเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อปกป้องเกาะแห่งนี้ ระฆังนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงความรักนิรันดร์และการเสียสละของมังกรนั่นเอง
สำหรับใครที่มาเที่ยวที่นี่ ระฆังนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ยืนยาว การสั่นระฆังพร้อมคู่รักถือเป็นการส่งคำอธิษฐานเพื่อความรักและคำมั่นสัญญาที่จะอยู่คู่กันตลอดไป ส่วนเรามาแบบเหงาๆ คนเดียว ก็สามารถมาสั่นระฆังเพื่อขอให้เจอกับความรักกับคนที่ดีได้เช่นกันนะครับ
บนเกาะ Enoshima นี้เราจะต้องเดินเยอะพอสมควรเลยนะครับ สำหรับใครที่ไม่อยากเดินขึ้นลงเยอะๆ สามารถใช้บริการบันไดเลื่อนได้ โดยบันไดเลื่อนจะพาเราขึ้นไปด้านบนของเกาะโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเดินขึ้นตามทางหรือบันได ประหยัดเวลาและช่วยผ่อนแรงได้เยอะ แต่ก็มีค่าบริการอยู่นะครับ (ผมไม่ได้ลองใช้เหมือนกัน) ใครที่ไม่อยากเสียเวลาเดินหรือมีเวลาน้อยก็ลองมาใช้บริการดูได้ครับ
ระหว่างทางขากลับเราก็จะผ่านตลาดที่เป็น Shopping Street ที่เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขายของฝากต่างๆ สามารถมาหาซื้อจากบริเวณนี้ได้เลย
ชมพระอาทิตย์ตกที่สะพาน Enoshima Bentenbashi: ปิดท้ายวันอย่างโรแมนติก
ช่วงเวลาสุดท้ายของวันคือการนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ สะพาน Enoshima Bentenbashi ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของทริปเลยครับ แสงสีทองของพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลับขอบทะเล สะท้อนกับน้ำทะเลระยิบระยับ และเงาสะพานที่ทอดยาว เป็นภาพที่ตราตรึงในความทรงจำไม่ลืมครับ สวยงามมาก แนะนำให้มาเที่ยวเกาะ Enoshima ในช่วงบ่ายจะได้เดินกลับในช่วงพระอาทิตย์ตกพอดีนะครับ
สรุป
ทริปนี้เริ่มต้นที่เมือง Kamakura ซึ่งเป็นที่ตั้งของ วัด Kotoku-in และ พระพุทธรูปไดบุตสึ ที่มีความยิ่งใหญ่และสงบ เมื่อเสร็จจากการเยี่ยมชมวัดแล้ว เรามุ่งหน้าสู่ Cape Inamuragasaki จุดชมวิวทะเลที่ให้ความรู้สึกสงบและสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิในวันที่อากาศดี ต่อจากนั้นแวะถ่ายรูปวิวการ์ตูน Slam Dunk ที่ Kamakurakokomae หลังจากนั้นเราเดินทางต่อไปยัง เกาะ Enoshima ที่มีทั้ง Dragon Love Bell, Iwaya Caves, และวิวพระอาทิตย์ตกสุดโรแมนติก ปิดท้ายวันด้วยการชมบรรยากาศที่สวยงามและเต็มไปด้วยความหมายทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ทำให้ทริปนี้เป็นวันที่ครบถ้วนและน่าประทับใจอย่างยิ่ง ถ้าใครที่อยากที่เที่ยว 1 วันใกล้ๆ โตเกียว Kamakura ก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่อยากแนะนำเลยครับ Happy Travel!