รีวิวสายการบิน Japan Airlines (JAL) บินจากโตเกียวกลับไทยด้วย Boeing 777–300ER
สวัสดีครับ บทความนี้จะมารีวิวการเดินทางด้วยสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ส(Japan Airlines) บินกลับไทยจากสนามบินฮาเนดะ, โตเกียว โดยเป็นการเดินทางด้วยสายการบิน Japan Airlines ของผมเป็นครั้งที่สองแล้ว โดยก่อนหน้านี้ผมเคยใช้บริการเป็นการเดินทางไปสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งถ้าใครที่อยากจะย้อนไปอ่านรีวิวในตอนนั้นก็สามารถกดอ่านได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้ได้ครับ
ในรีวิวนี้จะเป็นการเดินทางอัพเดตล่าสุดปี 2024 เดินทางด้วย Boeing 777–300ER เช่นเคยเหมือนครั้งที่ไปอเมริกาครั้งก่อน แต่รูปแบบการบริการหลายๆ อย่าง รวมถึงอาหารต่างๆ ก็มีการอัพเดตไปพอสมควรครับ
การเดินทางวันนี้เราเริ่มต้นกันที่สนามบินนานาชาติโตเกียวฮาเนดะ (Haneda Airport) หรือชื่อทางการก็คือสนามบินนานาชาติโตเกียว (Tokyo International Airport) ซึ่งหลายๆ คนอาจจะมีความสับสนเวลาจองตั๋วเครื่องบินแล้วเห็นชื่อย่อสนามบินเขียนว่า “TYO” ซึ่งโค้ดนี้เป็นการสื่อความโดยรวมของทั้งสองสนามบินหลักของโตเกียวนั่นคือสนามบินฮาเนดะและสนามบินนาริตะ แต่ไม่ใช่ Airport Code ตัวจริงของสนามบินนะครับ เพราะ Airport Code (IATA) ของสนามบินฮาเนดะคือ “HND” ส่วนสนามบินนาริตะคือ “NRT” ดังนั้นเวลาจองตั๋วให้เช็คสนามบินให้ดีก่อนนะครับว่าเที่ยวบินของเราทำการบินที่สนามบินไหน เพราะทั้งสองสนามบินมีเที่ยวบินบินมาเมืองไทยทุกวัน ยิ่งถ้าเดินทางไปขึ้นเครื่องผิดสนามบินล่ะก็เรื่องใหญ่มากครับ เพราะทั้งสองสนามบินนั้นอยู่ห่างไกลกันมาก
สายการบิน Japan Airlines เป็นสายการบินในกลุ่มพันธมิตรสายการบิน OneWorld ดังนั้นถ้าใครที่เดินทางกับสายการบิน Japan Airlines สามารถเลือกสะสมไมล์ร่วมกับสายการบินพันธมิตรในเครือได้ และรวมถึงสายการบินพันธมิตรอื่นๆ เช่น Korean Air ก็สามารถสะสมไมล์ร่วมเมื่อเดินทางกับ Japan Airlines ได้เช่นกัน สามารถเช็คข้อมูลสายการบินพันธมิตรของ Japan Airlines ได้ที่นี่ครับ https://www.jal.co.jp/en/jalmile/use/partner_air/
การเดินทาง
Flight: JL31
Route: Tokyo (HND) — Bangkok (BKK)
Departure Time: 10:55 AM
Arrival Time: 3:25 PM
Duration: 5 hour 50 min
Aircraft: Boeing 777–300ER (JA731J)
Class: O (Economy)
การเดินทางของผมเริ่มต้นที่สนามบินฮาเนดะ โดยผมเลือกพักแถวๆ ย่าน Kamata ใกล้สนามบิน จึงเลือกใช้วิธีการเดินทางด้วยรถไฟสาย Keikyu จากสถานี Keikyu-Kamata มาลงที่สถานี Haneda Airport Terminal 3 ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น ค่าโดยสาร 230 เยน ซึ่งถ้าใครที่พักอยู่ในโตเกียวก็สามารถใช้รถไฟสายนี้ได้เช่นกัน โดยรถไฟสาย Keikyu จะเริ่มต้นจากสถานี Sengakuji โดยให้บริการเชื่อมแบบ Through-running ร่วมกับรถไฟ Toei Asakusa Line และ Keisei Oshiage Line ด้วย ซึ่งเป็นรถไฟที่เชื่อมสองสนามบินระหว่างสนามบินฮาเนดะและสนามบินนาริตะเข้าด้วยกัน
มาถึงสถานี Haneda Airport Terminal 3 แล้วเราขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อนขึ้นมายังชั้น Departures นะครับ
เมื่อมาถึงโซน Departures แล้ว Counter เช็คอินของสายการบิน Japan Airlines ในชั้น Economy Class จะอยู่ที่แถว H แนะนำให้เราทำ Online Check-in ผ่านเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชันของ Japan Airlines มาก่อนจะช่วยประหยัดเวลาได้มาก โดยผมได้ทำการเช็คอินออนไลน์มาเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อมาถึงบริเวณ Row H ให้เรามองหาเครื่อง Kiosk เพื่อที่เราจะทำการ Print Boarding Pass และ Baggage Tag ด้วยตัวเอง โดยเพียงแค่สแกนพาสปอร์ตเข้าไปก็สามารถปริ้นท์ออกมาได้อย่างง่ายๆ เลย
ตั๋วของผมสามารถโหลดกระเป๋าได้ 2 ใบๆ ละไม่เกิน 23 kg วันนี้ผมเลยโหลดไป 2 ใบเลยครับ ได้ Baggage Tag มาสองใบ ให้เราทำการติด Tag กระเป๋าด้วยตัวเองให้เรียบร้อยแล้วไปรอต่อคิวเพื่อทำการ Drop กระเป๋าเดินทางด้วยตัวเอง
เมื่อถึงคิวเราแล้วให้เราทำการสแกนพาสปอร์ตอีกหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นค่อยๆ เอากระเป๋าวางในจุดโหลดกระเป๋าทีละใบ ทำตามหน้าจอที่บอกข้อมูลเราได้เลยครับ ง่ายและสะดวกสบายมากๆ
ทุกอย่างจบได้ภายในไม่ถึง 20 นาที ผมมีเวลาเหลือในสนามบินก่อนเวลาเครื่องออกอีกราวๆ 2 ชม.ครึ่งเลย ผมเลยขึ้นไปชั้นบนสุดของสนามบินฮาเนดะ เพราะด้านบนของสนามบินแห่งนี้จะมี Observation Deck ให้เราขึ้นไปดูวิวเครื่องบินบนลานจอดได้อย่างเต็มตา วิวดีมากๆ คนชอบเครื่องบินแบบผมก็ไม่พลาดสิครับ จัดไป
ทางขึ้นมาชั้น Observation Deck นั้นถูกทำเป็นสะพานไม้สไตล์ญี่ปุ่น หยิบเอาไว้ในสนามบินเลย สวยงามมาก
ขึ้นมาถึงชั้นบนก็จะมีนิทรรศการที่เกี่ยวกับสนามบินฮาเนดะ รวมถึงเครื่องบินรุ่นต่างๆ เช่น Boeing 787 Dreamliner, Airbus A380 ให้เราได้มาศึกษาหาความรู้ได้ด้วย เรียกได้ว่ามาสนามบินแล้วยังได้ความรู้ติดกลับไปด้วย ดีงามมากจริงๆ
เมื่อเดินออกมาด้านนอกที่เป็น Observation Deck ก็จะได้เห็นวิวเครื่องบินเต็มตา ฟินมากจริงๆ ครับ ส่วนมากที่ Terminal 3 นี้จะเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศของ Japan Airlines เยอะมากๆ เลยครับ
ถ้าใครที่เป็นคนชอบดูเครื่องบิน หรือเป็นคนชอบถ่ายรูปเครื่องบิน (Plane Spotter) น่าจะชอบบรรยากาศตรงนี้มากครับ ถ้ามีโอกาสและมีเวลาที่สนามบินฮาเนดะลองแวะขึ้นมาดูกันได้ ไม่จำเป็นต้องมีไฟลท์บินก็มาเดินเล่นดูวิวเครื่องบินได้นะครับ
กลับมาที่ไฟลท์ของเรา วันนี้การจราจรช่วงเช้าที่สนามบินฮาเนดะ ค่อนข้างแน่นเลยครับ มีเที่ยวบินออกเดินทางกันทุกๆ 5 นาทีเลย ผมสังเกตได้อย่างนึงครับว่าไฟลท์มักจะออกเดินทางไปจุดหมายปลายทางเดียวกันในเวลาใกล้ๆ กันระหว่าง JAL กับ ANA เลย เช่น JL31 ของเราก็ออกทีหลัง NH837 ที่ไปกรุงเทพฯเหมือนกันเพียง 5 นาที หรือ JL6 กับ NH110 ที่ไป New York (JFK) เหมือนกันเวลาต่างกัน 5 นาที เราจะเห็น Slot ตารางบินคล้ายๆ กันแบบนี้เยอะเลยครับ
หลังจากผ่านตม.และ Security Check เราก็มารอขึ้นเครื่องที่เกทกัน ส่วนตัวรู้สึกว่า Duty Free ที่สนามบินฮาเนดะ Terminal 3 นี้ไม่อลังการเท่าที่สนามบินนาริตะเท่าไร แต่ก็พอจะมีร้านขนมของฝาก ร้านค้าแบรนด์เนมต่างๆ ให้เลือกพอสมควรแต่จะไม่เยอะเท่าที่นาริตะครับ
ช่วงรอขึ้นเครื่องผมแวะซื้อขนมแล้วเดินไปเจอ Cafe ในเกทของสนามบิน มีไอศครีมซอฟต์เสิร์ฟของ Shiroi Koibito ขายด้วย อร่อยดี กินกับ Caramel Coffee เข้ากันได้ดีครับ ราคาก็ไม่แพงมาก 500–600 เยนประมาณนี้
และแล้วก็ได้เวลา Boarding ขึ้นเครื่องกันครับ วันนี้เที่ยวบินของเราดีเลย์จากตารางบินไปประมาณครึ่งชม. กัปตันแจ้งว่ามีปัญหาเรื่องระบบสื่อสารของตัวเครื่องเลยทำให้ต้อง Recheck กันไปครู่ใหญ่ครับ แต่ทุกอย่างก็ถูกแก้ไขได้ด้วยดีและสามารถทำการบินได้ตามปกติ วันนี้ตั๋วผมบอร์ดดิ้งในกลุ่ม 4 ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายของผู้โดยสารเลย
เที่ยวบิน JL31 ของเราวันนี้ใช้เครื่องบิน Boeing 777–300ER อายุการใช้งานมาประมาณ 20 ปีแล้ว แต่สภาพเหมือนใหม่ดูไม่ค่อยเก่าเลย น่าจะมีการไปรีโนเวทกันมาบ้างแล้ว ที่นั่งมี 4 Classes ด้วยกันคือ First Class 8 ที่นั่ง, Business Class 49 ที่นั่ง, Premium Economy Class 34 ที่นั่งและ Economy Class (JAL จะใช้ชื่อว่า Sky Wider Economy) 147 ที่นั่ง
โดยในชั้น Economy Class จัดเรียงที่นั่งแบบ 3–3–3 ครับ ผมเลือกที่นั่ง 53K ติดริมหน้าต่างขวาสุดเผื่อหวังจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิซักครั้งครับ
ที่นั่งของเรากว้างทีเดียวครับ Seat Pitch 34 นิ้ว กว้าง 19 นิ้ว นั่งได้สบาย เข่าไม่ติดแน่นอน มีหน้าจอความบันเทิง (In Flight Entertainment) ครบครัน มีพอร์ต USB และพอร์ต Audio 3.5 mm ให้เสียบด้วย สะดวกสบายมาก
และในทุกที่นั่งจะมีหมอน ผ้าห่มและหูฟังให้ใช้ด้วยครับ แอร์บนเครื่องค่อนข้างเย็น การมีผ้าห่มสำคัญมาก
หลังจากผู้โดยสารขึ้นเครื่องกันครบแล้ว กัปตันก็ประกาศขออภัยในความล่าช้าเนื่องจากการตรวจสอบระบบสื่อสารของเครื่องบิน เข้าใจได้เลยครับ และหลังจากนั้นก็นำเครื่อง Push Back เพื่อ Taxi และนำเครื่อง Take Off ออกเดินทางกัน
อากาศวันนี้แจ่มใสมากครับ ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวเรื่องพายุไต้ฝุ่นเข้าบริเวณประเทศเวียดนาม แต่เส้นทางบินของเราวันนี้อากาศดี ไม่มีปัญหาเรื่องสภาพอากาศเลย
หลังจากเครื่องบินขึ้นมาได้ซักพัก ก็ผ่านบริเวณภูเขาไฟฟูจิ แต่น่าเสียดายที่วันนี้มีเมฆปกคลุมล้อมรอบฟูจิซังเต็มไปหมดเลย ทำให้เรามองเห็นฟูจิซังแค่ด้านบนสุดนิดเดียวเอง
เส้นทางการบินของเราวันนี้จะบินออกจาโตเกียวมุ่งหน้ามาทางภูมิภาคคิวชู บินลงตามมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านไต้หวันแล้วเข้าภูมิภาคอาเซียนทางเมืองดานังประเทศเวียดนามก่อนที่จะเลี้ยวเข้าบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีและทำการลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ ครับ
หลังจากเดินทางได้ราว 1 ชม. ลูกเรือก็เริ่มเสิร์ฟของว่างก่อน วันนี้จะเป็นถั่วพร้อมเครื่องดื่มเลือกเองได้ครับ ผมเลือกเป็น Sprite กับน้ำแข็ง ได้เป็นกระป๋องมาเลย
หลังจากนั้นลูกเรือก็เริ่มเสิร์ฟอาหารหลักของวันนี้ เป็นเมนูมื้อกลางวัน มีให้เลือก 2 ตัวเลือกคือ อาหารญี่ปุ่น กับ อาหารตะวันตก ซึ่งแน่นอนว่าเราคนเอเชียก็ต้องเลือกอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว เมนูวันนี้จะเป็น Triple Colorful “Donburi” with Barley Rice แปลเป็นไทยก็คือเป็นข้าวหน้าสามสีประกอบด้วยผัดเนื้อสับกับแครอทและไข่ ราดบนข้าวบาร์เลย์ พร้อมเครื่องเคียงจะเป็น หัวไชเท้าดองญี่ปุ่นกับกุ้งและหอยเชลล์ และอีกอันคือผักโขมคลุกเห็ดชิเมจิกันมันหวาน และสุดท้ายจะเป็นรากบัวคลุกกับพริกหยวกดอง อาหารจัดเต็มมากจริงๆ
ส่วนของหวานของมื้อนี้จะเป็นไอศครีมวานิลลาของ Haagendaz อิ่มอร่อยจุกๆ ไปเลย
หลังจากทานอาหารกันอิ่มแล้ว ผมลุกมาสำรวจห้องน้ำบนเครื่อง Boeing 777–300ER กันหน่อย ผมว่าห้องน้ำบนเครื่องนี้กว้างมาก มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันสมกับเป็นบริการแบบ Full Service ของ JAL จริงๆ
หลังจากเต็มอิ่มกับอาหารและเครื่องดื่มกันแล้ว กัปตันก็เริ่มหรี่ไฟให้ผู้โดยสารได้พักผ่อนกัน ผมก็นอนดูหนังจบไป 2 เรื่อง นอนไปแค่ราวๆ 30 นาทีได้เองมั้งครับ รู้สึกว่าอยากใช้เวลาดูวิวบนไฟลท์เยอะๆ 55+
ก่อนถึงเวลาจะ Landing ซัก 1 ชม. ลูกเรือก็นำขนมปังไส้มันหวานพร้อมเครื่องดื่มเป็นน้ำผลไม้มาเสิร์ฟอีกรอบ ไฟลท์นี้จัดเต็มเรื่องอาหารจริงๆ ผมอิ่มมากเลยเก็บไว้กินหลังลงจากเครื่องอีกที
หลังจากเดินทางกันมาได้ 5 ชม.กว่าๆ กัปตันก็ค่อยๆ ลดระดับเพดานบินและเตรียมตัวที่จะลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย ใช้เวลาในการเดินทางรวมทั้งสิ้น 5 ชม. 30 นาทีพอดี ก็มาถึงก่อนเวลาตามตารางประมาณ 9 นาที ถึงแม้ว่าเราจะออกเดินทางเลทมา 30 นาทีก็ตาม
ผมลงจากเครื่องบินน่าจะคนสุดท้ายของเครื่องเลย นั่งชิลดูวิวอะไรไปเรื่อยเปื่อย 55+ เที่ยวบินของเรารับกระเป๋าที่สายพานหมายเลข 19
สรุป
เป็นการเดินทางที่แสนสะดวกสบายและประทับใจเช่นเคยกับสายการบิน Japan Airlines สายการบินประจำชาติญี่ปุ่นที่ยังให้บริการดี อาหารอร่อย พนักงานทุกคนรวมถึงลูกเรือก็มีการบริการที่ยอดเยี่ยม ไม่มีที่ติตรงไหนเลย ทำให้การเดินทางของผมจากโตเกียวกลับไทยไม่เหนื่อยเลยครับ รวมถึงการจัดการที่สนามบินฮาเนดะก็ดีเยี่ยม สมแล้วที่เป็นสนามบินที่ติดอันดับ Top 5 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกทุกปี ไว้มีโอกาสจะกลับไปใช้บริการอีกนะครับ Happy Travel!