รีวิวสายการบิน Japan Airlines (JAL) บินจากโตเกียวกลับไทยด้วย Boeing 777–300ER

Traitanit Huangsri
5 min readSep 14, 2024

--

สวัสดีครับ บทความนี้จะมารีวิวการเดินทางด้วยสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ส(Japan Airlines) บินกลับไทยจากสนามบินฮาเนดะ, โตเกียว โดยเป็นการเดินทางด้วยสายการบิน Japan Airlines ของผมเป็นครั้งที่สองแล้ว โดยก่อนหน้านี้ผมเคยใช้บริการเป็นการเดินทางไปสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งถ้าใครที่อยากจะย้อนไปอ่านรีวิวในตอนนั้นก็สามารถกดอ่านได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้ได้ครับ

ในรีวิวนี้จะเป็นการเดินทางอัพเดตล่าสุดปี 2024 เดินทางด้วย Boeing 777–300ER เช่นเคยเหมือนครั้งที่ไปอเมริกาครั้งก่อน แต่รูปแบบการบริการหลายๆ อย่าง รวมถึงอาหารต่างๆ ก็มีการอัพเดตไปพอสมควรครับ

เส้นทางบินของเราวันนี้ HND-BKK

การเดินทางวันนี้เราเริ่มต้นกันที่สนามบินนานาชาติโตเกียวฮาเนดะ (Haneda Airport) หรือชื่อทางการก็คือสนามบินนานาชาติโตเกียว (Tokyo International Airport) ซึ่งหลายๆ คนอาจจะมีความสับสนเวลาจองตั๋วเครื่องบินแล้วเห็นชื่อย่อสนามบินเขียนว่า “TYO” ซึ่งโค้ดนี้เป็นการสื่อความโดยรวมของทั้งสองสนามบินหลักของโตเกียวนั่นคือสนามบินฮาเนดะและสนามบินนาริตะ แต่ไม่ใช่ Airport Code ตัวจริงของสนามบินนะครับ เพราะ Airport Code (IATA) ของสนามบินฮาเนดะคือ “HND” ส่วนสนามบินนาริตะคือ “NRT” ดังนั้นเวลาจองตั๋วให้เช็คสนามบินให้ดีก่อนนะครับว่าเที่ยวบินของเราทำการบินที่สนามบินไหน เพราะทั้งสองสนามบินมีเที่ยวบินบินมาเมืองไทยทุกวัน ยิ่งถ้าเดินทางไปขึ้นเครื่องผิดสนามบินล่ะก็เรื่องใหญ่มากครับ เพราะทั้งสองสนามบินนั้นอยู่ห่างไกลกันมาก

กลุ่มสายการบินในเครือ OneWorld

สายการบิน Japan Airlines เป็นสายการบินในกลุ่มพันธมิตรสายการบิน OneWorld ดังนั้นถ้าใครที่เดินทางกับสายการบิน Japan Airlines สามารถเลือกสะสมไมล์ร่วมกับสายการบินพันธมิตรในเครือได้ และรวมถึงสายการบินพันธมิตรอื่นๆ เช่น Korean Air ก็สามารถสะสมไมล์ร่วมเมื่อเดินทางกับ Japan Airlines ได้เช่นกัน สามารถเช็คข้อมูลสายการบินพันธมิตรของ Japan Airlines ได้ที่นี่ครับ https://www.jal.co.jp/en/jalmile/use/partner_air/

สายการบินพันธมิตรกับ Japan Airlines

การเดินทาง

Flight: JL31

Route: Tokyo (HND) — Bangkok (BKK)

Departure Time: 10:55 AM

Arrival Time: 3:25 PM

Duration: 5 hour 50 min

Aircraft: Boeing 777–300ER (JA731J)

Class: O (Economy)

การเดินทางของผมเริ่มต้นที่สนามบินฮาเนดะ โดยผมเลือกพักแถวๆ ย่าน Kamata ใกล้สนามบิน จึงเลือกใช้วิธีการเดินทางด้วยรถไฟสาย Keikyu จากสถานี Keikyu-Kamata มาลงที่สถานี Haneda Airport Terminal 3 ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น ค่าโดยสาร 230 เยน ซึ่งถ้าใครที่พักอยู่ในโตเกียวก็สามารถใช้รถไฟสายนี้ได้เช่นกัน โดยรถไฟสาย Keikyu จะเริ่มต้นจากสถานี Sengakuji โดยให้บริการเชื่อมแบบ Through-running ร่วมกับรถไฟ Toei Asakusa Line และ Keisei Oshiage Line ด้วย ซึ่งเป็นรถไฟที่เชื่อมสองสนามบินระหว่างสนามบินฮาเนดะและสนามบินนาริตะเข้าด้วยกัน

รถไฟสาย Keikyu Line มุ่งหน้าสนามบินฮาเนดะ

มาถึงสถานี Haneda Airport Terminal 3 แล้วเราขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อนขึ้นมายังชั้น Departures นะครับ

เมื่อมาถึงโซน Departures แล้ว Counter เช็คอินของสายการบิน Japan Airlines ในชั้น Economy Class จะอยู่ที่แถว H แนะนำให้เราทำ Online Check-in ผ่านเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชันของ Japan Airlines มาก่อนจะช่วยประหยัดเวลาได้มาก โดยผมได้ทำการเช็คอินออนไลน์มาเป็นที่เรียบร้อย

แถวเค้าเตอร์เช็คอิน (Self Baggage Drop) ที่แถว H

เมื่อมาถึงบริเวณ Row H ให้เรามองหาเครื่อง Kiosk เพื่อที่เราจะทำการ Print Boarding Pass และ Baggage Tag ด้วยตัวเอง โดยเพียงแค่สแกนพาสปอร์ตเข้าไปก็สามารถปริ้นท์ออกมาได้อย่างง่ายๆ เลย

เครื่อง Kiosk เพื่อทำ Self Check-in และ Print Boarding Pass, Baggage Tag ด้วยตัวเอง
Boarding Pass และ Baggage Tags

ตั๋วของผมสามารถโหลดกระเป๋าได้ 2 ใบๆ ละไม่เกิน 23 kg วันนี้ผมเลยโหลดไป 2 ใบเลยครับ ได้ Baggage Tag มาสองใบ ให้เราทำการติด Tag กระเป๋าด้วยตัวเองให้เรียบร้อยแล้วไปรอต่อคิวเพื่อทำการ Drop กระเป๋าเดินทางด้วยตัวเอง

วิธีการทำ Self Baggage Drop ด้วยตัวเอง

เมื่อถึงคิวเราแล้วให้เราทำการสแกนพาสปอร์ตอีกหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นค่อยๆ เอากระเป๋าวางในจุดโหลดกระเป๋าทีละใบ ทำตามหน้าจอที่บอกข้อมูลเราได้เลยครับ ง่ายและสะดวกสบายมากๆ

ทุกอย่างจบได้ภายในไม่ถึง 20 นาที ผมมีเวลาเหลือในสนามบินก่อนเวลาเครื่องออกอีกราวๆ 2 ชม.ครึ่งเลย ผมเลยขึ้นไปชั้นบนสุดของสนามบินฮาเนดะ เพราะด้านบนของสนามบินแห่งนี้จะมี Observation Deck ให้เราขึ้นไปดูวิวเครื่องบินบนลานจอดได้อย่างเต็มตา วิวดีมากๆ คนชอบเครื่องบินแบบผมก็ไม่พลาดสิครับ จัดไป

ทางขึ้นมาชั้น Observation Deck นั้นถูกทำเป็นสะพานไม้สไตล์ญี่ปุ่น หยิบเอาไว้ในสนามบินเลย สวยงามมาก

ขึ้นมาถึงชั้นบนก็จะมีนิทรรศการที่เกี่ยวกับสนามบินฮาเนดะ รวมถึงเครื่องบินรุ่นต่างๆ เช่น Boeing 787 Dreamliner, Airbus A380 ให้เราได้มาศึกษาหาความรู้ได้ด้วย เรียกได้ว่ามาสนามบินแล้วยังได้ความรู้ติดกลับไปด้วย ดีงามมากจริงๆ

เมื่อเดินออกมาด้านนอกที่เป็น Observation Deck ก็จะได้เห็นวิวเครื่องบินเต็มตา ฟินมากจริงๆ ครับ ส่วนมากที่ Terminal 3 นี้จะเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศของ Japan Airlines เยอะมากๆ เลยครับ

JA823J (B787–8 Dreamliner) กำลังจะบินไปไทเป (ไต้หวัน)
JA04WJ (A350–1000) กำลังจะบินไป Dallas, USA
HL7793 (A330–300) ของ Asiana Airlines บินกลับโซล เกาหลีใต้
JA820A (B787–8 Dreamliner) ของ ANA บินไป Houston, USA

ถ้าใครที่เป็นคนชอบดูเครื่องบิน หรือเป็นคนชอบถ่ายรูปเครื่องบิน (Plane Spotter) น่าจะชอบบรรยากาศตรงนี้มากครับ ถ้ามีโอกาสและมีเวลาที่สนามบินฮาเนดะลองแวะขึ้นมาดูกันได้ ไม่จำเป็นต้องมีไฟลท์บินก็มาเดินเล่นดูวิวเครื่องบินได้นะครับ

กลับมาที่ไฟลท์ของเรา วันนี้การจราจรช่วงเช้าที่สนามบินฮาเนดะ ค่อนข้างแน่นเลยครับ มีเที่ยวบินออกเดินทางกันทุกๆ 5 นาทีเลย ผมสังเกตได้อย่างนึงครับว่าไฟลท์มักจะออกเดินทางไปจุดหมายปลายทางเดียวกันในเวลาใกล้ๆ กันระหว่าง JAL กับ ANA เลย เช่น JL31 ของเราก็ออกทีหลัง NH837 ที่ไปกรุงเทพฯเหมือนกันเพียง 5 นาที หรือ JL6 กับ NH110 ที่ไป New York (JFK) เหมือนกันเวลาต่างกัน 5 นาที เราจะเห็น Slot ตารางบินคล้ายๆ กันแบบนี้เยอะเลยครับ

หลังจากผ่านตม.และ Security Check เราก็มารอขึ้นเครื่องที่เกทกัน ส่วนตัวรู้สึกว่า Duty Free ที่สนามบินฮาเนดะ Terminal 3 นี้ไม่อลังการเท่าที่สนามบินนาริตะเท่าไร แต่ก็พอจะมีร้านขนมของฝาก ร้านค้าแบรนด์เนมต่างๆ ให้เลือกพอสมควรแต่จะไม่เยอะเท่าที่นาริตะครับ

แวะคาเฟ่ในเกท

ช่วงรอขึ้นเครื่องผมแวะซื้อขนมแล้วเดินไปเจอ Cafe ในเกทของสนามบิน มีไอศครีมซอฟต์เสิร์ฟของ Shiroi Koibito ขายด้วย อร่อยดี กินกับ Caramel Coffee เข้ากันได้ดีครับ ราคาก็ไม่แพงมาก 500–600 เยนประมาณนี้

Boarding Time

และแล้วก็ได้เวลา Boarding ขึ้นเครื่องกันครับ วันนี้เที่ยวบินของเราดีเลย์จากตารางบินไปประมาณครึ่งชม. กัปตันแจ้งว่ามีปัญหาเรื่องระบบสื่อสารของตัวเครื่องเลยทำให้ต้อง Recheck กันไปครู่ใหญ่ครับ แต่ทุกอย่างก็ถูกแก้ไขได้ด้วยดีและสามารถทำการบินได้ตามปกติ วันนี้ตั๋วผมบอร์ดดิ้งในกลุ่ม 4 ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายของผู้โดยสารเลย

เที่ยวบิน JL31 ของเราวันนี้ใช้เครื่องบิน Boeing 777–300ER อายุการใช้งานมาประมาณ 20 ปีแล้ว แต่สภาพเหมือนใหม่ดูไม่ค่อยเก่าเลย น่าจะมีการไปรีโนเวทกันมาบ้างแล้ว ที่นั่งมี 4 Classes ด้วยกันคือ First Class 8 ที่นั่ง, Business Class 49 ที่นั่ง, Premium Economy Class 34 ที่นั่งและ Economy Class (JAL จะใช้ชื่อว่า Sky Wider Economy) 147 ที่นั่ง

แผนผังที่นั่งบน Boeing 777–300ER ของ JL31

โดยในชั้น Economy Class จัดเรียงที่นั่งแบบ 3–3–3 ครับ ผมเลือกที่นั่ง 53K ติดริมหน้าต่างขวาสุดเผื่อหวังจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิซักครั้งครับ

ที่นั่ง

ที่นั่งของเรากว้างทีเดียวครับ Seat Pitch 34 นิ้ว กว้าง 19 นิ้ว นั่งได้สบาย เข่าไม่ติดแน่นอน มีหน้าจอความบันเทิง (In Flight Entertainment) ครบครัน มีพอร์ต USB และพอร์ต Audio 3.5 mm ให้เสียบด้วย สะดวกสบายมาก

และในทุกที่นั่งจะมีหมอน ผ้าห่มและหูฟังให้ใช้ด้วยครับ แอร์บนเครื่องค่อนข้างเย็น การมีผ้าห่มสำคัญมาก

หลังจากผู้โดยสารขึ้นเครื่องกันครบแล้ว กัปตันก็ประกาศขออภัยในความล่าช้าเนื่องจากการตรวจสอบระบบสื่อสารของเครื่องบิน เข้าใจได้เลยครับ และหลังจากนั้นก็นำเครื่อง Push Back เพื่อ Taxi และนำเครื่อง Take Off ออกเดินทางกัน

อากาศวันนี้แจ่มใสมากครับ ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวเรื่องพายุไต้ฝุ่นเข้าบริเวณประเทศเวียดนาม แต่เส้นทางบินของเราวันนี้อากาศดี ไม่มีปัญหาเรื่องสภาพอากาศเลย

บินผ่านภูเขาไฟฟูจิ

หลังจากเครื่องบินขึ้นมาได้ซักพัก ก็ผ่านบริเวณภูเขาไฟฟูจิ แต่น่าเสียดายที่วันนี้มีเมฆปกคลุมล้อมรอบฟูจิซังเต็มไปหมดเลย ทำให้เรามองเห็นฟูจิซังแค่ด้านบนสุดนิดเดียวเอง

เส้นทางการบินของเราวันนี้จะบินออกจาโตเกียวมุ่งหน้ามาทางภูมิภาคคิวชู บินลงตามมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านไต้หวันแล้วเข้าภูมิภาคอาเซียนทางเมืองดานังประเทศเวียดนามก่อนที่จะเลี้ยวเข้าบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีและทำการลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ ครับ

Snack พร้อมเครื่องดื่ม

หลังจากเดินทางได้ราว 1 ชม. ลูกเรือก็เริ่มเสิร์ฟของว่างก่อน วันนี้จะเป็นถั่วพร้อมเครื่องดื่มเลือกเองได้ครับ ผมเลือกเป็น Sprite กับน้ำแข็ง ได้เป็นกระป๋องมาเลย

อาหารจานหลักบนเครื่อง

หลังจากนั้นลูกเรือก็เริ่มเสิร์ฟอาหารหลักของวันนี้ เป็นเมนูมื้อกลางวัน มีให้เลือก 2 ตัวเลือกคือ อาหารญี่ปุ่น กับ อาหารตะวันตก ซึ่งแน่นอนว่าเราคนเอเชียก็ต้องเลือกอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว เมนูวันนี้จะเป็น Triple Colorful “Donburi” with Barley Rice แปลเป็นไทยก็คือเป็นข้าวหน้าสามสีประกอบด้วยผัดเนื้อสับกับแครอทและไข่ ราดบนข้าวบาร์เลย์ พร้อมเครื่องเคียงจะเป็น หัวไชเท้าดองญี่ปุ่นกับกุ้งและหอยเชลล์ และอีกอันคือผักโขมคลุกเห็ดชิเมจิกันมันหวาน และสุดท้ายจะเป็นรากบัวคลุกกับพริกหยวกดอง อาหารจัดเต็มมากจริงๆ

ของหวาน ไอศครีม Haagendaz

ส่วนของหวานของมื้อนี้จะเป็นไอศครีมวานิลลาของ Haagendaz อิ่มอร่อยจุกๆ ไปเลย

ห้องน้ำบน B777–300 ER ของ JAL

หลังจากทานอาหารกันอิ่มแล้ว ผมลุกมาสำรวจห้องน้ำบนเครื่อง Boeing 777–300ER กันหน่อย ผมว่าห้องน้ำบนเครื่องนี้กว้างมาก มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันสมกับเป็นบริการแบบ Full Service ของ JAL จริงๆ

เครื่องบินๆ ผ่านบริเวณเมือง Danang ประเทศเวียดนาม

หลังจากเต็มอิ่มกับอาหารและเครื่องดื่มกันแล้ว กัปตันก็เริ่มหรี่ไฟให้ผู้โดยสารได้พักผ่อนกัน ผมก็นอนดูหนังจบไป 2 เรื่อง นอนไปแค่ราวๆ 30 นาทีได้เองมั้งครับ รู้สึกว่าอยากใช้เวลาดูวิวบนไฟลท์เยอะๆ 55+

ก่อนถึงเวลาจะ Landing ซัก 1 ชม. ลูกเรือก็นำขนมปังไส้มันหวานพร้อมเครื่องดื่มเป็นน้ำผลไม้มาเสิร์ฟอีกรอบ ไฟลท์นี้จัดเต็มเรื่องอาหารจริงๆ ผมอิ่มมากเลยเก็บไว้กินหลังลงจากเครื่องอีกที

ลดระดับการบินลงจอด Landing ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

หลังจากเดินทางกันมาได้ 5 ชม.กว่าๆ กัปตันก็ค่อยๆ ลดระดับเพดานบินและเตรียมตัวที่จะลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย ใช้เวลาในการเดินทางรวมทั้งสิ้น 5 ชม. 30 นาทีพอดี ก็มาถึงก่อนเวลาตามตารางประมาณ 9 นาที ถึงแม้ว่าเราจะออกเดินทางเลทมา 30 นาทีก็ตาม

ผมลงจากเครื่องบินน่าจะคนสุดท้ายของเครื่องเลย นั่งชิลดูวิวอะไรไปเรื่อยเปื่อย 55+ เที่ยวบินของเรารับกระเป๋าที่สายพานหมายเลข 19

สรุป

เป็นการเดินทางที่แสนสะดวกสบายและประทับใจเช่นเคยกับสายการบิน Japan Airlines สายการบินประจำชาติญี่ปุ่นที่ยังให้บริการดี อาหารอร่อย พนักงานทุกคนรวมถึงลูกเรือก็มีการบริการที่ยอดเยี่ยม ไม่มีที่ติตรงไหนเลย ทำให้การเดินทางของผมจากโตเกียวกลับไทยไม่เหนื่อยเลยครับ รวมถึงการจัดการที่สนามบินฮาเนดะก็ดีเยี่ยม สมแล้วที่เป็นสนามบินที่ติดอันดับ Top 5 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกทุกปี ไว้มีโอกาสจะกลับไปใช้บริการอีกนะครับ Happy Travel!

--

--