รีวิวสายการบิน American Airlines บินตรงไกลที่สุดในชีวิต 24 ชั่วโมงจาก Dallas กลับไทย ปี 2019

Traitanit Huangsri
5 min readDec 7, 2024

--

สวัสดีครับ บทความนี้เป็นการรีวิวสายการบิน American Airlines (AA) ย้อนอดีตไปในปี 2019 ที่ผมเคยบินกลับจากเมือง Dallas มลรัฐ Texas สหรัฐอเมริกากลับไทย โดยแวะเปลี่ยนเครื่องหนึ่งครั้งที่ฮ่องกงที่สนามบิน Hong Kong International Airport ก่อนบินกลับไทยด้วยสายการบิน Cathay Pacific อีกเที่ยวบินหนึ่งครับ ใช้เวลาในการเดินทางรวมกว่า 24 ชั่วโมง หรือประมาณหนึ่งวันเต็มๆ เลยครับ เป็นการเดินทางบนเครื่องบินที่แสนยาวนานมากๆ

DFW-HKG-BKK เส้นทางการเดินทางวันนี้

เที่ยวบินแรก AA125 ที่เราออกเดินทางจากเมือง Dallas สหรัฐอเมริกามายังฮ่องกงที่ให้บริการโดย American Airlines ถือเป็นเที่ยวบินหนึ่งที่ใช้ระยะเวลาในการเดินทางยาวนานสุดเที่ยวบินหนึ่งของโลก (17 ชั่วโมง) โดยเคยถูกจัดอันดับเป็นเที่ยวบินตรง(แบบไม่มีแวะพัก) ที่ใช้เวลาบินยาวนานที่สุดในโลกเป็นอันดับ 14 เลยทีเดียว

โดยในปัจจุบันนี้ (ปี 2024) สายการบิน American Airlines ได้ยุติการให้บริการเที่ยวบิน AA125 นี้ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี 2020 ที่ผ่านมา (น่าจะเพราะด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid-19) และในเดือนเมษายน 2025 ที่จะถึงนี้ สายการบิน Cathay Pacific ซึ่งเป็นสายการบินพันธมิตรในเครือ One World จะกลับมาทำการบินในเส้นทางนี้อีกครั้ง ด้วยเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด Airbus A350–1000 แล้ว!

เที่ยวบินระยะไกลที่เคยติดอันดับโลกด้วย (อันดับ 14) จากข้อมูลของ https://en.wikipedia.org/wiki/Longest_flights

การเดินทาง #1

Flight: AA125 / CX7681 (Codeshare with Cathay Pacific)

Airlines: American Airlines (AA)

Route: Dallas Fort Worth (DFW) — Hong Kong (HKG)

Departure Time: 10:35 AM (GMT-05:00)

Arrival Time: 4:10 PM (GMT+08:00)

Duration: 17 Hours

Aircraft: Boeing 777–300ER

Class: Economy Class (Y)

Dallas Forth Worth International Airport (DFW)
ผมเดินทางในวันธรรมดาและเวลาออกเดินทางอยู่ในช่วงเช้าซึ่งเป็นเวลา Rush Hour พอดี ผมจึงเลือกใช้บริการของ Lyft (เป็น Ride Sharing Service คล้าย Grab บ้านเรา) นั่งจากย่าน Downtown ของเมือง Dallas มาถึงสนามบิน Dallas Fort Worth International Airport (ขอเรียกย่อๆ ว่า DFW) ใช้เวลาราวๆ 1 ชม.ครับ ซึ่งถึงแม้จะเป็นช่วง Rush Hour แต่เมือง Dallas มีการจัดการจราจรที่ดีเยี่ยม ทำให้รถไม่ติดเลย โดยสนามบินแห่งนี้เป็น Hub ทำการบินของสายการบิน American Airlines อีกด้วย เรียกได้ว่ามาสนามบินนี้จะได้เห็นเครื่องบินของ AA เต็มไปหมดเลยครับ และยังมีสำนักงานใหญ่ของ American Airlines ตั้งอยู่ที่สนามบินแห่งนี้อีกด้วยครับ

American Airlines Center https://www.americanairlinescenter.com/arena-information/about-aacenter

สนามบิน Dallas Forth Worth International Airport ถือเป็นสนามบินขนาดใหญ่ที่มีการจราจรทางอากาศหนาแน่นสูงเป็นอันดับที่ 2 ของโลกในเชิงการให้บริการเที่ยวบินโดยสารทั้งในปี 2022, 2023 เลย ตัวอาคารผู้โดยสารมีทั้งหมด 5 อาคาร (A-E) 165 เกท รองรับทั้งเที่ยวบินทั้งในและต่างประเทศกว่า 254 จุดหมายปลายทาง มีเที่ยวบินที่สามารถบินไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ได้ทั่วโลกหลายทวีป ทั้งอเมริกา ยุโรป เอเชีย โอเชเนีย ถือว่าเป็นสนามบินหลักในภูมิภาคแถบตอนกลางถึงใต้ของสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ครับ

Check-in

เที่ยวบินของผมในวันนี้อยู่ที่อาคารผู้โดยสาร (Terminal) D ครับ โดยระบบการ Check-in ของสนามบินในสหรัฐอเมริกาทุกวันนี้จะเป็นระบบบริการตัวเอง (Self-Service) ด้วย Kiosk หมดแล้ว ผู้โดยสารสามารถทำการ Check-in, Print Boarding Pass, Print Luggage Tag และรวมถึงการโหลดน้ำหนักกระเป๋าเองได้ทั้งหมดแล้วครับ แต่ก็ยังมี Counter ที่มีเจ้าหน้าที่สนามบินคอยให้บริการอยู่บ้าง แต่ใช้คนน้อยมากๆ แล้วครับ ถือว่าเป็นการพัฒนาการบริการที่สนามบินที่ดีเยี่ยมมากครับ

Self Check-in
DFW Self-Service Kiosk Credit: https://www.dallasnews.com/

Gates
สนามบิน DFW นั้นกว้างขวางใหญ่โตอลังการตามสไตล์สนามบินขนาดใหญ่ในอเมริกา มีร้านค้าในโซน Duty Free อยู่นิดหน่อย ส่วนตัวผมคิดว่าสนามบินของประเทศในเอเชียเนี่ย Duty Free ทำได้ดีติดอันดับโลกเลยนะครับ ร้านค้าเยอะและหลากหลายจริงๆ ต่างกับในอเมริกาที่สนามบินใหญ่แต่ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นที่นั่งให้คนรอขึ้นเครื่องมากกว่าครับ จะไม่ได้มี Lounge สำหรับนั่งพักรอเครื่องบินพร้อมเสริฟอาหารจัดเต็มแบบสนามบินในทวีปเอเชียหลายๆ แห่งครับ

บรรยากาศในเกทของสนามบิน DFW
ร้านขายสินค้าที่ระลึกของทีม Dallas Cowboys ทีม American Football ชื่อดังของเมืองนี้

Seating

เดินผ่าน Business Class เก็บภาพไว้หน่อย เผื่อวันนึงจะมีโอกาสได้นั่งกะเค้าบ้าง 55

เที่ยวบินวันนี้ใช้เครื่องบิน Boeing 777–300ER ซึ่งเป็นเครื่องบินรุ่นยอดฮิตที่ใช้ทำการบินระยะไกลโดยเฉพาะเส้นทางจากเอเชียมาสหรัฐอเมริกาจะนิยมใช้รุ่นนี้กันหลายสายการบินเลยครับ ซึ่งทาง AA ก็ Claim ว่าเป็นเครื่องบินรุ่นนี้เป็นเครื่องบินที่บินได้ไกลที่สุดที่ประจำอยู่ในฝูงบินของ AA ณ ตอนนี้แล้ว โดยห้องโดยสารบนเครื่องบินรุ่นนี้แบ่งที่นั่งเป็น 4 ชั้นด้วยกัน ตั้งแต่ First Class, Business Class, Premium Economy และ Economy Class แน่นอนครับผมนั่ง ชั้น Economy แน่นอน ฮ่าๆ

โดยชั้นประหยัดจัดเรียงที่นั่งแบบ 3–3–3 แต่จะมีบางแถวที่จะถูกจัดแบบ 2–4–2 ด้วยครับ ที่นั่งมีความกว้างระหว่างที่นั่ง (Seat Pitch) อยู่ที่ 31–32 นิ้ว ความกว้างของเบาะ 16.2–17.1 นิ้ว ถือว่าไม่กว้างแต่ก็ไม่แคบจนเกินไปครับ แต่ถ้าสำหรับไฟลท์ยาวๆ แบบนี้แนะนำว่าควรลุกไปเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสายระหว่างทางด้วยครับ ไม่งั้นพอลงเครื่องอาจจะมีอาการเมื่อยล้าได้ครับ

หมอนผ้าห่มพร้อมนอน

ทุกที่นั่งจะมีหมอนกับผ้าห่มเตรียมไว้ให้ด้วยนะครับ และก็มีพอร์ต USB, ปลั๊กไฟ Universal สามารถเสียบสายชาร์จโทรศัพท์มือถือได้ และแน่นอน In-Flight Entertainment ก็จัดจอ LED แบบ Touch Screen มาให้เต็มรูปแบบครับ

Delays
และแล้วเที่ยวบินของผมในวันที่เดินทางก็ต้องดีเลย์ออกไป จากเดิมที่ต้องออกเดินทางตั้งแต่เวลาประมาณ 10:35 AM แต่เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ที่จัดการเส้นทางการบินของเครื่องบินมีปัญหา ทำให้กัปตันต้องประกาศดีเลย์เที่ยวบินออกไปหลังจาก Board ผู้โดยสารขึ้นเครื่องหมดแล้ว ใช้เวลาในการแก้ปัญหาระบบคอมพิวเตอร์กว่า 1 ชม.เลยครับ แต่ก็ดีกว่าเอาเครื่องขึ้นไปแล้วเกิดปัญหากลางทางนะครับ ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอครับ

ไฟลท์ Delay ก็นั่งดูเที่ยวบินเกทข้างๆ ทยอย Take Off กันไปเพลินๆ
Safety Instructions ของ Boeing 777–300ER ของ American Airlines

หลังจากที่แก้ปัญหาทุกอย่างได้เรียบร้อยแล้ว กัปตันก็ทำการ Push Back เครื่องและนำเครื่องขึ้น Take Off เรียบร้อยครับ ซึ่งเส้นทางการบินในวันนี้ กัปตันเลือกเส้นทางบินออกจากเมือง Dallas บินขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านประเทศแคนาดาขึ้นไปจนเกือบถึงตอนใต้ของเกาะ Greenland ก่อนที่จะเลี้ยวลงข้ามมหาสมุทรอาร์คติกผ่านประเทศรัสเซีย มองโกเลีย และจีน ก่อนที่จะ Landing ลงที่ฮ่องกงครับ ใช้เวลาทั้งหมด 16 ชม. ในการเดินทาง

วันนี้สภาพอากาศดีเยี่ยม ฟ้าใส สวยงามมากๆ ครับ

หลังจากเครื่องขึ้นได้ประมาณ 1 ชม.​ ลูกเรือ(Cabin Crew) ก็เริ่มทำการแจกเมนูอาหารที่จะเสิร์ฟในเที่ยวบินนี้ให้ผู้โดยสารแต่ละท่าน โดยจะเสิร์ฟอาหารหลัก 2 มื้อ บวกกับอาหารว่างอีก 1 มื้อ รวมเป็น 3 มื้อถ้วนครับ

หลังจากแจกเมนูเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทำการเริ่มเสิร์ฟอาหารหลักมื้อแรกครับ ซึ่งผมเลือกเป็นเมนู ​Chicken Mapo Tofu with Jasmine rice and Haricots Verts แปลเป็นไทยคือข้าวหอมมะลิกับมาโพโตฟูไก่ (ไก่ผัดซอสกับเต้าหู้) เสิร์ฟกับผัก ซึ่งรสชาติผมต้องบอกเลยว่าไม่ค่อยถูกปากเลยครับ รู้สึกตัดสินใจผิดที่เลือกเมนูนี้ ฮ่าๆ

Chicken Mapo Tofu with Jasmine rice and Haricots Verts

หลังจากทานอาหารมื้อแรกเสร็จ ก็ได้เวลาเพลิดเพลินกับ In-Flight Entertainment แล้วครับ ซึ่งก็มีหนัง ซีรีส์ เพลง เกม ใหม่ๆให้เราเลือกมากมายครับ แต่สิ่งที่ผมชอบที่สุดบนเที่ยวบินนี้คือ Feature Live On Board หรือช่องทีวีถ่ายทอดสดดูได้บนเครื่องเลย มีให้เลือก 3–4 ช่องครับเช่น BBC, CNN, CNBC และ Sport24 ซึ่งแน่นอนผมนี่เปิด Sport24 ดูกีฬาวนๆ ไป แก้เบื่อได้ดีเลยทีเดียวครับ

Live on Board: Sport 24 Channel

หลังจากดูกีฬาเพลินๆ ก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ครับ รู้ตัวอีกทีคือเค้าปิดไฟมืดให้นอนหมดแล้ว เราดูเปิดทีวีดูต่อครับ แล้วก็หลับๆ ตื่นๆ จนรู้ตัวอีกทีคือได้กลิ่นอาหารมื้อที่สองเตรียมเสิร์ฟแล้ว รอบนี้จะเป็นของว่างซึ่ง Cabin Crew เสิร์ฟ Ratatouille Stromboli แปลเป็นไทยคือ ขนมปังไส้สตูว์ผักอะไรซักอย่าง ไม่เคยทานเหมือนกันครับ รสชาติเข้มข้นดีครับ ทานคู่กับไอศครีม Gelato รสวานิลลา ตัดเลี่ยนได้ดีครับ

Ratatouille Stromboli เสิร์ฟท่ามกลางความมืด

กินเสร็จแล้วก็นอนต่อ ผลัดกับลุกมาเข้าห้องน้ำ ยืดเส้นยืดสายหน่อยครับ นั่งนานจนรู้สึกก้นเริ่มเมื่อยแล้ว แล้วก็มาถึงอาหารมื้อที่สาม มื้อสุดท้ายก่อนเครื่องจะ Landing ครับ ซึ่งตอนนี้ผมอยากทานอาหารสไตล์เอเชียๆ แล้ว เบื่ออาหารฝรั่งแล้วล่ะ เลยขอเลือกอาหารเป็น Chinese Dim Sum with Fried Egg Noodles ไหนๆ เรามาฮ่องกงทั้งทีก็ต้องอาหารจีน ติ่มซำ บะหมี่ไรงี้ใช่มั้ยครับ

Chinese Dim Sum with Fried Egg Noodles

มาเสิร์ฟแล้วครับ ติ่มซำกับบะหมี่ไข่ ซึ่งรสชาติแบบว่าแย่มาก ติ่มซำแห้งมาก ไม่มีความชุ่มฉ่ำเลย บะหมี่ก็แห้งๆ จืดๆ อยากได้แบบเกลือพริกไทยมากครับ ณ จุดนั้น แต่สุดท้ายก็กินจนหมดนะครับ ไม่รู้ว่าหิวหรืออะไรตอนนั้น ฮ่าๆ

เปิดหน้าต่างมาถึงน่านฟ้าของฮ่องกงแล้ว

หลังจากเสิร์ฟอาหารมื้อสุดท้ายได้ไม่นาน ก็ใกล้ถึงฮ่องกงแล้วครับ กัปตันก็เริ่มเปิดไฟและแจ้งผู้โดยสารว่าใกล้ถึงแล้วนะครับทุกท่าน เตรียมตัว Landing กันได้

หลังจากลดระดับเพดานบินลงมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ Landing ลงที่สนามบิน Hong Kong International Airport (HKG) เรียบร้อยปลอดภัย นิ่มดีมากครับ ใช้เวลาบินจริงยาวๆ 16 ชม. รวมเวลาดีเลย์บนเครื่องอีก 1 ชม. รวมๆ แล้วก็ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดร่วมๆ 17 ชม. เลยครับ

การเดินทาง #2

Flight: CX703

Airlines: Cathay Pacific (CX)

Route: Hong Kong (HKG) — Bangkok (BKK)

Departure Time: 7:50 PM (GMT +08:00)

Arrival Time: 9:50 PM (GMT+07:00)

Duration: 3 Hours

Aircraft: Airbus A330–300

Class: Economy Class

หลังจากลงเครื่องที่สนามบินฮ่องกงแล้ว เราต้องผ่านการตรวจสแกนสัมภาระ (Security Check) อีกหนึ่งรอบนะครับ ลงเครื่องมาแล้วบอกเลยว่ารู้สึกเมื่อยก้น เมื่อยขาไปหมดครับ เหนียวตัวด้วย เพราะนั่งเครื่องอย่างยาวนานกว่า 17 ชั่วโมงแบบไม่ค่อยได้ขยับตัวอะไรมาก แนะนำให้ลงมาทำยืดเหยียดเยอะๆ เลยครับ

เรามีเวลาต่อเครื่องที่สนามบินฮ่องกงราวๆ 2–3 ชม. ก็กำลังดีครับ สามารถแวะเข้าห้องน้ำห้องท่า หรือใครอยากจะไปเดินช็อปปิ้งใน Duty Free ก็ยังพอไหวมีเวลาให้ได้เดินกันบ้างครับ ผมซื้อ Salted Egg Fish มากินเป็น snack ระหว่างรอด้วยครับ หลังจากนั้นก็มานั่งรอต่อเครื่องบริเวณเกทครับ

Airbus A330–300 เที่ยวบิน CX-703 มาจอดรอแล้ว
Seatmap ของ A330–300 ของ Cathay Pacific

ที่นั่งของเครื่องบิน Airbus A330–300 ของ Cathat Pacific ชั้นประหยัดจัดเรียงที่นั่งแบบ 2–4–2 ที่นั่งค่อนข้างกว้างดีเลยครับ ผมเลือกนั่งแถว C ริมทางเดิน นั่งสบายมากครับ วันนี้กัปตันนำเครื่อง Take-off ได้ตรงเวลาดีมากครับ

หน้าจอความบันเทิงบน A330–300 ของ Cathay Pacific

อุปกรณ์ความบันเทิงหน้าที่นั่งค่อนข้างทันสมัยดีครับ เป็นจอสัมผัส มีหนัง ซีรีส์ให้เลือกดูมากมาย สมกับเป็นสายการบินระดับโลกจริงๆ ครับ

อาหารบนไฟลท์ CX-703 HKG-BKK

หลังจากเครื่อง Take-off แล้ว ลูกเรือก็เริ่มเสิร์ฟอาหาร ซึ่งถือเป็นมื้อที่ 4 ของการเดินทางในทริปนี้ของผมแล้ว คราวนี้แน่นอนว่าเลือกอาหารเอเชีย และมีอาหารไทยให้เลือกด้วย! คิดถึงอาหารไทยมาก เลือกเป็นข้าวราดพะแนงหมูกับผัดผัก อร่อยมากครับ เสิร์ฟมาพร้อมไอศครึม Häagen-Dazs และผลไม้สด จัดเต็มจนลืมความแย่ของอาหารบน AA ไปได้เลยครับ สายการบินฝั่งเอเชียเราเรื่องอาหารชนะเลิศครับ

หลังจากทานอาหารเสร็จ กัปตันก็ดับไฟในห้องโดยสารเพื่อให้ผู้โดยสารได้พักผ่อนกัน เนื่องจากเป็นไฟลท์ช่วงหัวค่ำแล้วด้วยครับ และเมื่อผ่านไปราว 2 ชม.ครึ่ง เราก็มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย ใช้เวลาเดินทางรวมเวลารอต่อเครื่องที่ฮ่องกงแล้วก็เป็น 24 ชั่วโมง หรือ 1 วันพอดี ถึงไทยแล้วอยากอาบน้ำมากครับ 555+

สรุป

ก็ถือเป็นประสบการณ์การเดินทางที่ล้ำค่าของผมในการที่ได้เดินทางแบบยาวไกลขนาดนี้เป็นครั้งแรกครับ ต้องขอบคุณสายการบิน American Airlines ที่ดูแลผู้โดยสารเป็นอย่างดี แม้อาหารจะไม่ค่อยถูกปากเท่าไรก็ตาม แต่การบริการอื่นๆ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยนั้นดีเยี่ยมหายห่วงเลยครับ ส่วนไฟลท์จาก Hong Kong กลับไทยก็ต้องบอกว่าไม่มีที่ติ ประทับใจเสมอทั้งการบริการและอาหารสำหรับ Cathay Pacific ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับไปใช้บริการอีกซักครั้งครับ Happy Travel!

--

--

No responses yet